ชื่อ : นางสาวทิพวรรณ ยิ้มแก้ว
สาขาวิชา : วิศวกรรมคอมพิวเตอร์
อาจารย์ที่ปรึกษา : อาจารย์ภานุวัฒน์ ขันจา
ปีการศึกษา : 25561
บทคัดย่อ
การจัดทำระบบสารสนเทศในครั้งนี้มีได้ศึกษาเกี่ยวกับระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์เพื่อการจัดการะบบขายของออนไลน์บ้านสวนม่อนดินแดง และพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระบบขายสินค้าออนไลน์กรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เกิดความสะดวกสบายและเกิดความรวดเร็วต่อการค้นหาข้อมูล
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเพราะได้รับความอนุเคราะห์จาก อาจารย์ภานุวัฒน์ ขันจา ที่ได้กรุณาและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำโครงงานรวมถึงช่วยให้คำแนะนำในการจัดทำเอกสารให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ ที่เกิดขึ้นโดยการเอาใจใส่ และขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยให้โครงงานนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีที่ไม่ได้กล่าวนามทุกท่าน ทำให้การทำโครงงานครั้งนี้ออกมาเป็นอย่างดียิ่ง
สารบัญ
หน้า
บทที่ 1 บทนำ
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1
1.2 วัตถุประสงค์ของการจัดทำโครงงาน 2
1.3 โครงงานและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4
1.4 ระยะเวลาดำเนินการ 5
1.5 แผนการดำเนินงาน 5
1.6 ขอบเขตการจัดทำโครงงาน 6
1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 8
1.8 คำนิยามศัพท์เฉพาะ 9
1.9 เอกสารอ้างอิง 9
บทที่ 2 ทฤษฏีและหลักการที่เกี่ยวข้อง 10
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ( Geographic Information System ) GIS 10
2.1 การวิเคราะห์และออกแบบระบบ 10
2.1.1 ขั้นตอนของการวิเคราะห์ระบบ 11
2.1.2 ความหมายของระบบ 11
2.1.3 องค์ประกอบของระบบ 12
2.1.4 วงจรการพัฒนาระบบงานสำหรับระบบสารสนเทศ 12
2.1.5 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแผนภาพกระแสข้อมูล 14
2.2 ระบบฐานข้อมูล 15
2.2.1 ส่วนประกอบของตารางข้อมูลในฐานข้อมูล 15
2.2.2 ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูล 15
2.2.3 ประโยชน์ของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ 16
2.2.4 โครงสร้างของข้อมูล 16
2.2.5 องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล 16
2.2.6 สาเหตุที่ต้องมีฐานข้อมูล 17
2.2.7 ระบบจัดการฐานข้อมูล 17
2.2.8 หน้าที่ของระบบจัดการฐานข้อมูล 17
2.2.9 ข้อดีของการจักเก็บ ข้อมูลแบบฐานข้อมูล 18
2.3 โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล 18
2.3.1 โปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซส 19
2.3.2 ขั้นตอนในการสร้างฐานข้อมูล 19
บทที่ 3 ขั้นตอนการดำเนินงาน 27
การศึกษาและรวบรวมข้อมูล 27
การวิเคราะห์ และออกแบบระบบ 28
Use Case diagram 29
อธิบาย Use Case : การสมัครสมาชิก 31
อธิบาย Use Case : Login 32
อธิบาย Use Case : เลือกรายการสินค้า 33
อธิบาย Use Case : สั่งซื้อสินค้า 34
อธิบาย Use Case : ส่งสินค้า 35
อธิบาย Use Case : ตรวจสอบรายการสินค้า 36
อธิบาย Use Case : เพิ่มเติมรายการสินค้า 37
อธิบาย Use Case : ชำระเงิน 38
อธิบาย Use Case : ออกโปรโมชั่น 39
รายละเอียดของคลาสไดอาแกรม 40
การหา Class ด้วยวิธีการค้นหาคำนาม 43
การค้นหาคลาสตามกลุ่มลักษณะ 44
Class Diagram 45
Class Diagramผู้ดูแลระบบ 45
Class Diagramรายการสมุนไพร 45
Class Diagramโปรโมชั่น 46
Class Diagramผู้จัดการ 46
Class Diagramใบเสร็จชำระเงิน 46
Class Diagramลูกค้า 47
Class Diagramรายการสมุนไพร 47
Class Diagramบันทึกรายการสั่งซื้อ 47
Class Diagramชำระเงิน 48
Class Diagramใบเสร็จชำระเงิน 48
Sequence Diagram 50
Sequence Diagram การสมัครสมาชิก 50
Sequence Diagram Login 51
Sequence Diagram รายการสินค้า 52
Sequence Diagram การสั่งซื้อสินค้า 53
Sequence Diagram ส่งสินค้า 54
Sequence Diagram ตรวจสอบรายการสินค้า 55
Sequence Diagram เพิ่มเติมรายการสินค้า 56
Sequence Diagram ชำระเงินผ่าน ATM 57
Sequence Diagram ชำระเงินปลายทาง 58
Sequence Diagram โปรโมชั่น 59
Communication Diagram 60
Communication Diagram การสมัครสมาชิก 60
Communication Diagram Login 61
Communication Diagram เลือกรายการสินค้า 62
Communication Diagram สั่งซื้อสินค้า 63
Communication Diagram ส่งสินค้า 64
Communication Diagram ตรวจสอบสินค้า 65
Communication Diagram เพิ่มเติมรายการสินค้า 66
Communication Diagram ชำระเงิน ATM 67
Communication Diagram ชำระเงินปลายทาง 68
Communication Diagram ออกโปรโมชั่น 69
Activity Diagram 70
Activity Diagram การสมัครสมาชิก 70
Activity Diagram Login 71
Activity Diagram เลือกรายการสินค้า 72
Activity Diagram สั่งซื้อสินค้า 73
Activity Diagram ส่งสินค้า 74
Activity Diagram ตรวจสอบสินค้า 75
Activity Diagram ชำระเงิน 76
Activity Diagram โปรโมชั่น 77
State Diagram 78
State Diagram การสมัครสมาชิก 78
State Diagram รายการสินค้า 79
State Diagram เพิ่มเติมรายการสินค้า 80
State Diagram การสั่งซื้อสินค้า 81
State Diagram การส่งสินค้า 82
State Diagram การชำระเงินปลายทาง 83
State Diagram การชำระเงินผ่านตู้ ATM 84
State Diagram ตรวจสอบสินค้า 85
State Diagram โปรโมชั่น 86
Deployment diagram 87
แผนผังเว็บไซต์ 90
รูปแบบการใช้งานเว็บไซต์ 91
อ้างอิง 100
บทที่ 1 บทนำ
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ระบบสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ เป็นการสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยมีการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเป็นหลัก โดยปกติแล้วผู้ใช้ระบบต้องผ่านการลงทะเบียนก่อนจึงสามารสั่งซื้อสินค้าได้รูปแบบการลงทะเบียนจะเป็นการกรอกแบบฟอร์มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ ได้แก่ ชื่อ นามสกุล เพศ อีเมล์ วันเดือนปีเกิด อาชีพ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ชื่อผู้ใช้งานและ รหัสผ่าน เป็นต้น เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูลครบถ้วนและถูกต้องแล้ว โดยชื่อผู้ใช้งาน (User Name) จะต้องไม่ซ้ำกับในระบบเพื่อใช้ลอกอินเข้าระบบต่อไป ระบบสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มีการจัดเก็บข้อมูลแยกตามหมวดหมู่ของสินค้า ส่วนการนำเสนอรายละเอียดของสินค้าประกอบด้วย รหัสสินค้า ชื่อสินค้า ราคาต่อหน่วย เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วผู้ใช้ยังสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้โดยการระบุคีย์เวิร์ด (Keyword) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
ผู้ใช้สามารถเลือกสั่งซื้อสินค้าได้จากรายการสินค้าในหมวด (Category) ที่เลือกไว้โดยการคลิกที่ตระกร้าสินค้า (Shopping Cart) ระบบจะเลือกสินค้ารายการดังกล่าวเข้าสู่ตระกร้าสั่งซื้อสินค้าที่มีการแสดงรายละเอียดของสินค้า พร้อมทั้งคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ราคารวมแต่ละรายการ ราคารวมทั้งสิ้น ภาษี และราคารวมภาษี เป็นต้น ในขั้นตอนนี้ผู้ใช้สามารถแก้ไขจำนวนสินค้าภายในตระกร้าสินค้าที่ได้มีการสั่งซื้อไปแล้ว หรือ ลบสินค้าที่ไม่ต้องการออกจากตระกร้าสินค้าได้ โดยระบบจะคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในตระกร้าสินค้า
เมื่อผู้ใช้เสร็จสิ้นการเลือกซื้อสินค้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ซึ่งต้องผ่านการลอกอินเสมอ ผู้ใช้ต้องกรอกแบบฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลบัตรเครดิต ได้แก่ ชนิดของบัตรเครดิต หมายเลขบัตร ชื่อเจ้าของบัตร และวันที่หมดอายุ เพื่อให้ระบบส่งข้อมูลการชำระเงินไปยังหน่วยงานตรวจสอบสถานะบัตรเครดิตภายนอกเมื่อมีการตรวจสอบสถานะบัตรเครดิตถูกต้อง ขั้นตอนของการสั่งซื้อสินค้าถือว่าเสร็จสิ้น นอกจากนั้นแล้วเพื่อความสะดวกในการใช้งานของระบบผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะของการสั่งซื้อสินค้าได้โดยผ่านการลอกอิน ระบบจะแสดงข้อมูลการสั่งซื้อสินค้าทั้งหมดที่ผู้ใช้เคยสั่งซื้อไว้โดยผู้ใช้สามารถตรวจสอบรายการสั่งซื้อสินค้าที่ต้องการได้ โดยระบบจะแสดงรายการสินค้าพร้อมทั้งรายละเอียดต่างๆรวมไปถึงสถานะของการจัดส่ง
วัตถุประสงค์
⦁ เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศระบบขายของออนไลน์บ้านสวนม่อนดินแดงผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
⦁ เพื่อศึกษาระบบสารสนเทศระบบขายของออนไลน์บ้านสวนม่อนดินแดงเพื่อทำการวิเคราะห์และ ออกแบบระบบ
⦁ เพื่อให้ผู้ศึกษามีความรู้เกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต
⦁ สามารถนำระบบมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
⦁ เพื่อตรวจสอบจุดหรือตำแหน่งของบ้านสวนม่อนดินแดงผ่านแผนที่
ปัญหาของระบบ
⦁ สินค้าเป็นที่รู้จักในวงแคบ
⦁ ไม่มีระบบควบคุมคลังสินค้า
⦁ ไม่มีระบบตรวจสอบย้อนหลัง
⦁ ไม่มีระบบบันทึกข้อมูลการซื้อสินค้า
⦁ ไม่มีระบบจัดทำรายงานสรุปการขายสินค้าในแต่ละเดือน
วิธีการแก้ไขปัญหา
แนวทางที่1
⦁ โฆษณาสินค้าในเว็บไซต์
⦁ จัดทำรายการส่วนลด
⦁ จัดทำใบสั่งซื้อสินค้าบรรทุกลงในคอมพิวเตอร์
⦁ จัดทำรายงานสรุปการขายสินค้าบรรทุกลงในคอมพิวเตอร์
แนวทางที่2
⦁ จัดทำใบปลิวส่งเสริมการขาย
⦁ ใช้เว็บไซต์สำเร็จรูป
⦁ บันทึกข้อมูลการจัดซื้อสินค้าลงในคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรม Microsoft Office
⦁ บันทึกข้อมูลการขายสินค้าลงในคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรม Microsoft Office
⦁ บันทึกรายงานสรุปการขายสินค้าในแต่ละเดือนลงในคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรม
แนวทางที่3
⦁ พัฒนาเว็บไซต์ส่งสินค้าออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
⦁ พัฒนาระบบควบคลุมคลังสินค้า
⦁ พัฒนาระบบบันทึกข้อมูลการส่งสินค้า
⦁ พัฒนาระบบการจัดทำรายงาน
⦁ เพิ่มระบบลงทะเบียนผู้ใช้
ผลลัพธ์
⦁ ได้ระบบงานที่พัฒนาขึ้นใหม่ที่ดีขึ้นมากกว่าเดิมได้กลุ่ม
⦁ ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
โครงงานและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
⦁ การวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อความแห้งแล้ง ในพื้นที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
ผู้จัดทำ ประวิทย์ จันทร์แฉ่ง
งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเสี่ยงต่อความแห้งแล้ง และวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อ ความแห้งแล้ง รวมทั้งหาสมการความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ใช้ใน การศึกษากับความเสี่ยงต่อความแห้งแล้งในพื้นที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยมีปัจจัย ที่เกี่ยวข้องกับความแห้งแล้งได้แก่ ปัจจัยที่เกี่ยวกับ ลักษณะทางธรรมชาติคือ ปริมาณน้ำฝนต่อปี, ปริมาณน้ำบาดาล,ลักษณะเนื้อดิน และการระบายน้ำของดิน ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับลักษณะทาง กายภาพที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ คลองชลประทาน และการใช้ประโยชน์จาก ที่ดิน โดยกำหนดให้ ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจำนวน 17 คน ให้คะแนนความสำคัญ ( Weighting) และค่าน้ำหนักระดับปัจจัย (Rating) ท าการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยง ต่อความแห้ง แล้งกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ ความเสี่ยงต่อ ความแห้งแล้งด้วยวิธีการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้น (Linear Regression Analysis) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 และวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อ ความ แห้งแล้งในพื้นที่โดยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System)
⦁ การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์สำหรับการค้นหาเส้นทางที่เหมาะสมภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผู้จัดทำ นางสาวพัชรพรรณ นันทวิสิทธิ์
นางสาววรพรรณ ทะสุใจ
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายด้าน เช่น การวิเคราะห์เส้นทาง เป็นต้น สำหรับในพื้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นี้ มีผู้คนได้เข้ามาใช้เส้นทางในมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรในบางช่วงเวลา เราสามารถนำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มาใช้ในการวิเคราะห์เส้นทางที่เหมาะสมได้ สำหรับโปรแกรมสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่ใช้ในการวิเคราะห์เส้นทางคือ ArcGISDesktop 9.2 ซึ่งสามารถวิเคราะห์การเดินทางที่เหมาะสมได้โดยมีเงื่อนไขการจราจรเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือเงื่อนไขอื่นๆได้ เส้นทางในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีหลายเส้นทางที่เป็นทางเดินรถทางเดียว มีอีกหลายเส้นทางที่หลายคนยังไม่รู้ว่าสามารถเดินรถได้ และใช้เป็นเส้นทางลัดได้ จะเห็นได้ว่าการนำโปรแกรมสารสนเทศภูมิศาสตร์ ArcGISDesktop 9.2 เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างระบบฐานข้อมูลโครงข่ายถนนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งโปรแกรมนี้มีความสามารถในการวิเคราะห์และจัดเก็บข้อมูลในปริมาณที่มากได้ วิเคราะห์ค้นหาเส้นทางที่เหมาะสม วางแผนการเดินทางสำหรับบางช่วงเวลาที่มีการจราจรติดขัด ว่าควรเดินทางไปเส้นทางใดได้โดยไม่เผชิญกับการจราจรที่ติดขัด หรือการวางแผนการเดินทางสำหรับคนเดินเท้าโดยเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด ได้เป็นอย่างดี
การผสานข้อมูลโครงการก่อสร้างร่วมกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อใช้ในการควบคุมและติดตามงานก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำวัตถุประสงค์ของโครงงาน วัตถุประสงค์ของโครงงาน
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษารูปแบบการผสานข้อมูลโครงการก่อสร้างร่วมกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมและติดตามงานก่อสร้างและเพื่อจัดทำระบบฐานข้อมูลงานก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ โดยใช้โครงการในอดีต จำนวน 5 โครงการเป็นกลุ่มตัวอย่าง จากข้อมูลงานก่อสร้างของสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 1 กรมทรัพยากรน้ำได้ถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลทดสอบ ซึ่งในขั้นตอนแรกเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของงานก่อสร้างโครงการ รวมถึงข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่ได้จัดทำเพิ่มเติม ขั้นตอนต่อมาคือการศึกษาข้อมูล เพื่อจัดเตรียมและกำหนดรูปแบบการผสานข้อมูล โดยการศึกษาความต้องการใช้งานและรูปแบบการทำงานของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ โดยการสอบถามผู้เชี่ยวชาญถึงความต้องการพื้นฐานจากระบบการผสานข้อมูล จากนั้นทำการวิเคราะห์ฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่จัดเก็บไว้ และกำหนดรูปแบบการผสานข้อมูลให้ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ขั้นตอนสุดท้ายคือการผสานข้อมูลโดยใช้โปรแกรม ArcGIS แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้มาสอบถามจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องระหว่างการประชุมโครงการก่อสร้าง โดยได้มีการนำข้อมูลที่ถูกผสานแล้วมาสอบถามประโยชน์และความพึงพอใจ ภายในสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 1 โดยภาพรวมของการประเมินผลพบว่า การมีระบบควบคุมและติดตามงานก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ โดยวิธีการผสานข้อมูลร่วมกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ มีประโยชน์มากถึงมากที่สุด ต่อการนำไปใช้เป็นเครื่องมือช่วยควบคุมและติดตามงานก่อสร้าง รวมถึงวางแผนบริหารงานก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระยะเวลาในการดำเนินงาน
เริ่มโครงการ 23 กรกฎาคม 2561
สิ้นสุดโครงการ 23 พฤศจิกายน 2561
รวมทั้งหมด 124 วัน
งบประมาณที่ใช้
รวมทั้งสิ้น 500 บาทถ้วน
แผนการดำเนินงาน
ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลของระบบ
การศึกษาโครงการนั้นต้องมีแนวคิดจะทำระบบนั้นขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ศึกษาระบบของผู้อื่นที่ได้ทำระบบขึ้นมาก่อนแล้ว เพื่อศึกษาให้เป็นแนวคิดของระบบที่กำลังจะสร้างขึ้นมา วางแผนการศึกษาระบบ รวบรวมข้อมูลในการทำระบบ จะเก็บข้อมูลที่จะทำไว้เพื่อทำการสร้างระบบ ต้องศึกษาระบบของระบบอื่นให้เข้าใจ เพื่อระบบของตนจะได้สมบูรณ์ตามแนวความคิด
ขั้นตอนการวิเคราะห์
การศึกษาโครงการนั้นต้องมีแนวคิดจะทำระบบนั้นขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ศึกษาระบบของผู้อื่นที่ได้ทำระบบขึ้นมาก่อนแล้ว เพื่อศึกษาให้เป็นแนวคิดของระบบที่กำลังจะสร้างขึ้นมา วางแผนการศึกษาระบบ รวบรวมข้อมูลในการทำระบบ จะเก็บข้อมูลที่จะทำไว้เพื่อทำการสร้างระบบ ต้องศึกษาระบบของระบบอื่นให้เข้าใจ เพื่อระบบของตนจะได้สมบูรณ์ตามแนวความคิด
ขั้นตอนการออกแบบ
ระบบที่จะสร้างต้องคำนึงถึงการใช้ของผู้ใช้ ระบบที่ทำขึ้นมาต้องเข้าใจการใช้ระบบได้โดยง่ายไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อนเกิดไปเพราะระบบที่สร้างใช้มาจะทำให้มีปัญหากับการใช้ของผู้ใช้ระบบนี้ได้
ขั้นตอนการเขียนโปรแกรม
การเขียนโปรแกรมในแต่จะคนจะมีการเขียนที่ไม่เหมือนกัน แต่การเขียนโปรแกรมนี้ต้องคำนึงผู้พัฒนาคนต่อไป เพื่อให้ผู้พัฒนาคนต่อไปอ่านได้เข้าใจถึงระบบ เพื่อศึกษาได้อย่างเข้าใจและแก้ไขปัญหาของระบบได้โดยตามความเข้าใจ
ทดสอบโปรแกรม
เมื่อเขียนระบบเสร็จทุกครั้งต่อทำการทดลองใช่ระบบเพื่อประสิทธิที่สมบูรณ์ของระบบ และแก้ไขช่องโหว่ของระบบได้ก่อนที่ระบบจะถูกปล่อยออกไปให้ผู้ใช้ระบบใช้งาน
ตรวจสอบความถูกต้อง
ปรับปรุงแก้ไขโปรแกรมและตรวจสอบความถูกต้อง
จัดทำเอกสาร
สรุปผลการดำเนินการและจัดทำรูปเล่มรายงาน รูปแบบรายงานมีเพื่อให้ผู้ใช้ได้อ่านถึงรูปแบบของระบบ ได้รู้ถึงหน้าที่หรือความต้องการของผู้ใช้มีอยู่ในระบบที่ถูกเขียนขึ้นมา
การวิเคราะห์และออกแบบระบบ
การวิเคราะห์ระบบ หมายถึง การพิสูจน์องค์ประกอบและความสัมพันธ์ภายในของระบบ
การพิสูจน์เพื่อหาปัญหาในการออกแบบระบบและการกำหนดหน้าที่ของระบบการวิเคราะห์ระบบเป็นวิธีการวิเคราะห์ระบบใดระบบหนึ่งโดยมีการคาดหมายและจุดมุ่งหมายที่เป็นการปรับปรุงแก้ไขระบบนั้นโดยการวิเคราะห์นั้นจะแยกแยะปัญหาออกมาให้ได้แล้วกำหนดปัญหาเป็นหัวข้อเพื่อทำการศึกษาและหาวิธีแก้ไขการวิเคราะห์ระบบนั้นเป็นการศึกษาแนวทางในการดำเนินงาน โดยการวิเคราะห์ทุกองค์ประกอบทุกๆ ส่วน
การวิเคราะห์ระบบ คือ ขั้นตอนค้นหาและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบที่จะพัฒนา
ค้นหาปัญหาจากระบบงาน และวิเคราะห์วินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อหาแนวทาง พัฒนา
ปรับปรุง ระบบงานให้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผล จากงานเดิมให้ดีขึ้นได้อย่างไร
นอกจากนั้นการวิเคราะห์ยังต้องทำการศึกษาความต้องการของระบบงานใหม่ที่จะได้รับจากการ
พัฒนาในอนาคต ต้องการให้ระบบงานใหม่ในภาพรวมทำงานอะไรได้บ้าง ประเด็นสำคัญของการ
ขั้นตอนของการวิเคราะห์ระบบ
⦁ ปัญหา (identify problem) รวบรวมสิ่งที่เป็นปัญหา
⦁ จุดมุ่งหมาย (objective) กำหนดวัตถุประสงค์เพื่อการแก้ปัญหา
⦁ ศึกษาข้อจากัดต่างๆ (constraints) พิจารณาขอบเขตเพื่อการศึกษาข้อจำกัดระบุหน้าที่ของส่วนต่างๆในระบบ
⦁ ทางเลือก (alternative) ค้นหาและเลือกวิธีการต่างๆในการแก้ปัญหา
⦁ การพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสม (Selection) หาทางแก้ปัญหาที่สามารถแก้ปัญหาได้จริง
⦁ การทดลองปฏิบัติ (implementation) ทดลองปฏิบัติกับกลุ่มย่อย
⦁ การประเมินผล (evaluation) ประเมินหาจุดดีจุดด้อย
⦁ การปรับปรุงแก้ไข (modification) ปรับปรุงส่วนที่บกพร่อง นำส่วนดีไปปฏิบัติต่อไป
วิธีการดำเนินงาน
⦁ ศึกษาปัญหาและความเป็นไปได้ในการจัดทำระบบ
⦁ ศึกษาปัญหาข้อมูลหน่วยงานต่างๆ
⦁ วิเคราะห์ปัญหาและสอบถามความต้องการจากหน่วยงาน
⦁ กำหนดเป้าหมายและวิเคราะห์ในการออกแบบระบบ
⦁ กำหนดขอบเขตของการออกแบบและการสร้างระบบ
รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
⦁ ข้อมูลเกี่ยวกับพืชสินค้า
⦁ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องการวิเคราะห์ระบบ
⦁ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการพัฒนาระบบ
⦁ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศการระบบขายของออนไลน์ บ้านสวนม่อนดินแดง
⦁ ข้อมูลตำแหน่งของบ้านสวนม่อนดินแดง ละติจูด ลองจิจูด
วิเคราะห์ออกแบบระบบงาน
⦁ ออกแบบฐานข้อมูล
⦁ ออกแบบหน้าจอหลัก
⦁ ออกแบบส่วนนำเข้าข้อมูล
⦁ ออกแบบส่วนค้นหาข้อมูล
⦁ ออกแบบส่วนแสดงผลข้อมูล
พัฒนาและจัดทำเอกสาร
⦁ เลือกภาษาที่จะใช้สำหรับการพัฒนาระบบ
⦁ พัฒนาระบบตามที่ได้ทำการวิเคราะห์และออกแบบไว้
ทดสอบ ปรับปรุงแก้ไข และติดตั้งระบบ
⦁ ทำการทดสอบระบบ ทำการแก้ไขระบบ ก่อนนำไปใช้งานจริง
จัดทำรูปเล่ม
⦁ ขอบเขตการศึกษา
ขอบเขตด้านระบบ
- ระบบพัฒนาขึ้นเป็นเว็บไซต์
ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
- Intel core i5 Ram 8 GB Hard Disk 500 GB
- ระบบปฏิบัติการ Windows 8.1
- คอมพิวเตอร์
- เครื่องปริ้นเตอร์
- ลำโพง
ซอฟต์แวร์ (Software)
- ระบบปฏิบัติการ Windows 8.1
- Adobe PhotoShop CS5
- Microsoft office Word 2013
-Visio Professional 2007
- Sublime
- Notepad++
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
⦁ ได้ศึกษาระบบสารสนเทศการจัดการระบบซื้อขายสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตเพื่อทำการวิเคราะห์และ ออกแบบระบบ
⦁ ได้พัฒนาระบบสารสนเทศการซื้อของออนไลน์
⦁ ได้การศึกษาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลการซื้อขายออนไลน์
โครงสร้างของโครงงาน
พื้นฐานทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องในการทำโครงงานจะกล่าวถึงเรื่องที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ออกแบบและพัฒนาโครงงาน คือ
UML (Unified Modeling Language)
ใช้ในการวิเคราะห์ออกแบบโดยจะกล่าวถึง
1. ยูสเคสไดอาแกรม (Use Case Diagram)
2. คลาสไดอาแกรม (Class Diagram)
3. ซีเควนซ์ไดอาแกรม (Sequence Diagram)
เอกสารอ้างอิง
⦁ ระบบสารสนเทศ สืบค้นเมื่อ 25 กรกฏาคม 2561,
จาก https://blog.eduzones.com/dena/489
⦁ บ้านสวนม่อนดินแดง สืบค้นเมื่อ 25 กรกฏาคม 2561,
http://www.angelfire.com/ri2/rangsan/important.html
⦁ ระบบสืบค้นข้อมูลบ้านสวนม่อนดินแดงสืบค้นเมื่อ 7 สิงหาคม 2561
www.sit.kmutt.ac.th/tqf/is_report/pdf56/54442067.pdf
⦁ สืบค้นเมื่อ 12 กันยายน 2561,
202.28.25.41/rexpo/Documents/.../บ้านสวนม่อนดินแดง.doc
⦁ สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม
⦁ 2561, http://nest610.blogspot.com
⦁ http://civil.eng.cmu.ac.th/research/taxonomy/98
บทที่ 2
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ( Geographic Information System ) GIS
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้าย ถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปลและสื่อความหมาย ใช้งานได้ง่าย
GIS เป็นระบบข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตร์อื่นๆ สภาพท้องที่ สภาพการทำงานของระบบสัมพันธ์กับสัดส่วนระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ข้อแตกต่างระหว่าง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาได้จากลักษณะของข้อมูล คือ ข้อมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ที่แสดงในรูปของภาพ (graphic) แผนที่ (map) ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) หรือฐานข้อมูล (Database)การเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน จะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะแสดงข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน เช่นสามารถจะค้นหาตำแหน่งของจุดตรวจวัดควันดำ - ควันขาวได้โดยการระบุชื่อจุดตรวจ หรือในทางตรงกันข้าม สามารถที่จะสอบถามรายละเอียดของ จุดตรวจจากตำแหน่งที่เลือกขึ้นมา ซึ่งจะต่างจาก MIS ที่แสดง ภาพเพียงอย่างเดียว โดยจะขาดการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับรูปภาพนั้น เช่นใน CAD (Computer Aid Design) จะเป็นภาพเพียงอย่างเดียว แต่แผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ คือค่าพิกัดที่แน่นอน ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ (Geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ สำหรับข้อมูล GIS ที่จะอ้างอิงกับข้อมูลบนพื้นโลกได้โดยทางอ้อมได้แก่ ข้อมูลของบ้าน(รวมถึงบ้านเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์) โดยจากข้อมูลที่อยู่ เราสามารถทราบได้ว่าบ้านหลังนี้มีตำแหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบ้านทุกหลังจะมีที่อยู่ไม่ซ้ำกัน
ในการจัดทำระบบส่งสินค้านั้น จะต้องมาจากการจัดการที่ดีใน หลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการวิเคราะห์ระบบ การจัดการระบบฐานข้อมูล หรือในส่วนของ การออกแบบระบบ ซึ่งส่วนต่างๆ เหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยทฤษฎีที่สำคัญในการจัดการอย่างยิ่ง และ ในที่นี้คณะผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าทฤษฎีในหลายๆ ด้านดังนี้ เพื่อนำมาประกอบการศึกษาโครงงาน ซึ่งสามารถแจกแจงได้ดังนี้
2.1 การวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analysis)
2.2 ระบบฐานข้อมูล (Database Systems)
2.3 โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล (DBMS)
⦁ โปรแกรม Macromedia Dreamweaver 8
⦁ การวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analysis)
การวิเคราะห์ระบบ หมายถึง การพิสูจน์องค์ประกอบและความสัมพันธ์ภายในของระบบการพิสูจน์เพื่อหาปัญหาในการออกแบบระบบ และการกำหนดหน้าที่ของระบบ (Heimlich)
การวิเคราะห์ระบบเป็นวิธีการวิเคราะห์ระบบใดระบบหนึ่ง โดยมีการคาดหมายและจุดมุ่งหมายที่เป็นการปรับปรุงแก้ไขระบบนั้น โดยการวิเคราะห์นั้นจะแยกแยะปัญหาออกมาให้ได้แล้วกำหนดปัญหาเป็นหัวข้อเพื่อทำการศึกษาและหาวิธีแก้ไข (ประจักษ์ เฉิดโฉม)
การวิเคราะห์ระบบนั้นเป็นการศึกษาแนวทางในการดำเนินงาน โดยการวิเคราะห์ทุกองค์ประกอบทุกๆ ส่วน
การวิเคราะห์ระบบ คือ ขั้นตอนค้นหาและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบที่จะพัฒนาค้นหาปัญหาจากระบบงาน และวิเคราะห์วินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อหาแนวทาง พัฒนาปรับปรุง ระบบงานให้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผล จากงานเดิมให้ดีขึ้นได้อย่างไรนอกจากนั้นการวิเคราะห์ยังต้องทำการศึกษาความต้องการของระบบงานใหม่ที่จะได้รับจากการพัฒนาในอนาคต ต้องการให้ระบบงานใหม่ในภาพรวมทำงานอะไรได้บ้าง ประเด็นสำคัญของการวิเคราะห์ระบบ คือ หาปัญหา เสนอแนวทางปรับปรุง หรือแนวทาง การแก้ปัญหาบอกทิศทางการพัฒนาระบบงานใหม่ว่าควรพัฒนาแล้วระบบงานใหม่อะไรบ้าง
2.1.1 ขั้นตอนของการวิเคราะห์ระบบ
2.1 ปัญหา (identify problem) รวบรวมสิ่งที่เป็นปัญหา
2.2 จุดมุ่งหมาย (objective) กำหนดวัตถุประสงค์เพื่อการแก้ปัญหา
2.3 ศึกษาข้อจากัดต่างๆ (constraints) พิจารณาขอบเขตเพื่อการศึกษาข้อจำกัดระบุหน้าที่ของส่วนต่างๆในระบบ
1.4 ทางเลือก (alternative) ค้นหาและเลือกวิธีการต่างๆในการแก้ปัญหา
1.5 การพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสม (Selection) หาทางแก้ปัญหาที่สามารถแก้ปัญหาได้จริง
1.6 การทดลองปฏิบัติ (implementation) ทดลองปฏิบัติกับกลุ่มย่อย
1.7 การประเมินผล (evaluation) ประเมินหาจุดดีจุดด้อย
1.8 การปรับปรุงแก้ไข (modification) ปรับปรุงส่วนที่บกพร่อง นำส่วนดีไปปฏิบัติต่อไป
การดำเนินงานการสอนครูผู้สอนจะต้องมีการวางแผนการสอนและตั้งวัตถุประสงค์ของการเรียนนั้นให้ดีเสียก่อนเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดการสอน ตลอดจนเตรียมเนื้อหาบทเรียนและวิธีการสอนเพื่อที่จะดำเนินการให้ได้ผลลัพธ์ คือ การที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่ถ้าหากว่าการเรียนการสอนนั้นไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ควรจะเป็น โดยอาจจะมีปัญหาในการสอนหรือการที่ผู้เรียนไม่สามารถเกิดการเรียนรู้ได้ดีเท่าที่ควรก็จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ปัญหาและหาทางแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นให้ได้ผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
2.2.2 ความหมายของระบบ
ระบบ (System) หมายถึงกลุ่มขององค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กันโดยความสัมพันธ์กันในที่นี้ยังสามารถเป็นความสัมพันธ์แบบบางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ ทั้งนี้แต่ละองค์ประกอบของระบบจะต้องประสานทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน ชัยยงค์ พรหมวงศ์
ระบบ (System) คือ ผลรวมขององค์ประกอบย่อยๆ ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองและมาประกอบรวมกันเป็นระบบเพื่อทำหน้าที่บางอย่าง อาทิเช่น ร่างกายมนุษย์ สังคมมนุษย์ พืช รถยนต์ ฯลฯ
ระบบ (System) หมายถึง โครงสร้าง หรือองค์ประกอบรวมทั้งหมดอย่างมีระบบ แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ภายในของส่วนประกอบต่างๆ แต่ละส่วนและต่อส่วนรวมทั้งหมดของระบบอย่างชัดเจน
ระบบ (System) หมายถึง ส่วนรวมทั้งหมดซึ่งประกอบด้วยส่วนย่อยหรือส่วนต่างๆที่มีความสัมพันธ์กันอาจจะเกิดโดยธรรมชาติ เช่น ร่างกายมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยระบบหายใจการย่อยอาหารฯลฯโดยแต่ละระบบของมนุษย์ต่างทำงานตามหน้าที่ของแต่ละระบบซึ่งมีความ ปฏิสัมพันธ์กัน เพื่อให้ร่างกายสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ หรือเป็นสิ่งที่มนุษย์ออกแบบและสร้างสรรค์ขึ้นอย่างมีระเบียบแล้วนำสิ่งเหล่านั้นมารวมกันเพื่อให้ดำเนินการสามารถบรรลุไปได้ตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้
ระบบ (System) เป็นกลุ่มขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกัน เพื่อจุดประสงค์ในสิ่งเดียวกัน ระบบอาจประกอบด้วยบุคลากร เครื่องมือ วัสดุ วิธีการ การจัดการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมีระบบในการจัดการเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์เดียวกัน คำว่า "ระบบ" เป็นคำที่มีการเกี่ยวข้องกับการ
ทำงานและหน่วยงานและนิยมใช้กันมาก เช่น ระบบธุรกิจ (Business System) ระบบสารสนเทศ (Management Information System) ระบบการเรียนการสอน (Instructional System)
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network System) เป็นต้น กูด (Good) ให้ความหมายของระบบว่า หมายถึง การจัดการส่วนต่าง ๆ ทุกส่วนให้เป็นระเบียบโดยแสดงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของส่วนต่าง ๆ และความสัมพันธ์ของแต่ละส่วนกับส่วนทั้งหมดอย่างชัดเจน
เซมพรีวิโว อธิบายว่า ระบบ คือ องค์ประกอบต่างๆ ที่ทำงานเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันเพื่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง กล่าวได้ว่าระบบคือการปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบทั้งหลายในการปฏิบัติหน้าที่และการดำเนินงาน กล่าวโดยสรุป ระบบ หมายถึง การนำปัจจัยต่างๆ อันได้แก่คน (People) ทรัพยากร (Resource) แนวคิด (Concept) และกระบวนการ (Process) มาผสมผสานการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้ าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้วางแผนไว้ โดยภายในระบบอาจประกอบไปด้วยระบบย่อย (Subsystem) ต่างๆ ที่ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน
2.2.3 องค์ประกอบของระบบ
จากความหมายของระบบตามที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่าการที่จะมีระบบใดระบบหนึ่งขึ้นมาได้
จะต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้
2.1.3.1 ส่วนที่นำเข้า (Input) ได้แก่ การรวบรวมและการจัดเตรียมข้อมูลดิบ เช่นการเก็บข้อมูลที่เป็นคะแนนสอบของนักศึกษา ข้อมูลที่ลูกค้ากรอกในแบบสอบถามการให้บริการของร้านค้า โดยอาจใช้มือหรือเครื่องมือต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ สแกนเนอร์ เครื่องอ่านบาร์โค้ดเป็นต้น
2.1.3.2 การประมวลผล (Processing) เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนและการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปของส่วนแสดงผลที่มีประโยชน์ ตัวอย่างของการประมวลผลได้แก่ การคำนวณ การเปรียบเทียบ การเลือกทางเลือกในการปฏิบัติงานและการเก็บข้อมูลไว้ใช้ในอนาคต โดยการประมวลผลสามารถทำได้ด้วยตนเองหรือสามารถใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยก็ได้
2.1.3.3 ส่วนที่แสดงผล (Output) เกี่ยวข้องกับการผลิตสารสนเทศที่มีประโยชน์มักจะอยู่ในรูปของเอกสาร หรือรายงาน เช่น รายงานที่นำเสนอผู้บริหาร สารสนเทศที่ถูกผลิออกมาให้กับผู้ถือหุ้น ธนาคาร หรือกลุ่มอื่นๆ โดยส่วนแสดงผลของระบบหนึ่งอาจนำไปใช้เป็นส่วนที่นำเข้าในระบบอื่นๆ ต่อไปก็ได้
2.1.3.4 ผลสะท้อนกลับ (Feedback) คือส่วนแสดงผลที่ใช้ในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อส่วนที่นำเข้าหรือส่วนประมวลผล เช่น ความผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดขึ้น อาจจำเป็นต้องแก้ไขข้อมูลนำเข้าหรือทำการเปลี่ยนแปลงการประมวลผลเพื่อให้ได้ส่วนแสดงผลที่ถูกต้อง
2.2.4 วงจรการพัฒนาระบบงานสาหรับระบบสารสนเทศ
วงจรการพัฒนาระบบงาน (System Development Life Cycle: SDLC) ของระบบสารสนเทศ ได้มีการคิดค้นขึ้นมาโดยมีขึ้นตอนที่แตกต่างไปจากวงจรการพัฒนาระบบงานสาหรับระบบงานทั่วไปตรงที่มีขั้นตอนในการพัฒนาระบบงานที่ละเอียดว่าถึง 7 ขั้นตอน ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบต้องทำความเข้าใจว่าในแต่ละขั้นตอนว่าทำอะไรและทำอย่างไร สามารถแบ่งออกเป็นลาดับขั้นตอนดังนี้ คือ
แสดงวงจรการพัฒนาระบบ SDLC
2.2.4.1 การกำหนดปัญหา (Problem Definition) เป็นขั้นตอนการระบุปัญหาและจุดมุ่งหมายของการพัฒนาระบบงาน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมาก เพราะใช้ในการกำหนดทิศทางในการพัฒนาระบบงานให้ชัดเจนในการระบุปัญหามักได้มาจากพนักงาน ทำงานแล้วพบว่างานที่ทำอยู่มีปัญหาเกิดขึ้น หรือไม่พอใจกับระบบงานเดิมที่เป็นอยู่ ในการระบุปัญหาสามารถทำได้โดย สังเกตว่าลักษณะงานเดิมสามารถนำระบบสารสนเทศมาปรับปรุงให้การทำงานสะดวกรวดเร็วได้หรือไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลในการทำงาน
2.2.4.2 วิเคราะห์ (Analysis) เป็นขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบ จะต้องรวบรวบข้อมูลความต้องการ (Requirements) ซึ่งการสืบค้นความต้องการของผู้ใช้สามารถดำเนินการได้จากการรวบรวมเอกสาร การสัมภาษณ์ การออกแบบสอบถาม และการสังเกตการณ์บนสภาพแวดล้อมการทำงานจริง แล้วนามาวิเคราะห์เพื่อสรุปเป็นข้อกำหนดที่ชัดเจน ขั้นตอนต่อไป คือ การนำข้อกำหนดเหล่านั้นไปพัฒนาเป็นความต้องการของระบบ ด้วยการพัฒนาเป็นแบบจำลองขึ้นมา ซึ่งได้แก่แบบจำลองกระบวนการ (Data Flow Diagram) และแบบจำลองข้อมูล (Data Model)
2.2.4.3 การออกแบบ (Design) เป็นระยะที่นาผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ ที่เป็นแบบจำลองเชิงตรรกะมาพัฒนาเป็นแบบจำลองเชิงกายภาพ โดยแบบจำลองเชิงตรรกะ (LogicalModel) ที่ได้จากขั้นตอนการวิเคราะห์ มุ่งเน้นว่ามีอะไรที่ต้องทำในระบบ ในขณะที่แบบจำลองเชิงกายภาพ (Physical Model) จะนำแบบจาลองเชิงตรรกะมาพัฒนาต่อด้วยการมุ่งเน้นว่าระบบจะดำเนินงานอย่างไร เพื่อให้เกิดผลตามต้องการ งานออกแบบระบบจะประกอบด้วยงานออกแบบสถาปัตยกรรมระบบที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และระบบเครือข่าย การออกแบบรายงานการออกแบบหน้าจออินพุตข้อมูล การออกแบบผังงานระบบ การออกแบบฐานข้อมูล และการออกแบบโปรแกรม
2.2.4.4 การพัฒนา (Development) เป็นระยะที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโปรแกรมโดยทีมงานโปรแกรมเมอร์จะต้องพัฒนาโปรแกรมตามที่นักวิเคราะห์ระบบได้ออกแบบไว้ การเขียนชุดคำสั่ง เพื่อสร้างเป็นระบบงานทางคอมพิวเตอร์ขึ้นมา โดยโปรแกรมเมอร์สามารถนำเครื่องมือเข้ามาช่วยในการพัฒนาโปรแกรมได้ เพื่อช่วยให้ระบบงานสามารถพัฒนาได้เร็วขึ้น และมีคุณภาพ
2.2.4.5 การทดสอบ (Testing) เมื่อโปรแกรมได้พัฒนาขึ้นมาแล้ว ยังสามารถนำระบบไปใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องดำเนินการทดสอบระบบก่อนที่จะนำระบบไปใช้งานจริงเสมอควรมีการทดสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อน ด้วยการสร้างข้อมูลจาลองขึ้นมาเพื่อใช้ตรวจสอบการทำงานของระบบงาน หากพบข้อผิดพลาดก็ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง การทดสอบระบบจะมีการตรวจสอบไวยากรณ์ของภาษาเขียน และตรวจสอบว่าระบบตรงกับความต้องการของผู้ใช้หรือไม่
2.2.4.6 การนาระบบไปใช้ (Implementation) เป็นขั้นตอนการนำระบบไปใช้งานจริง ครั้นเมื่อระบบสามารถรันได้จนเป็นที่น่าพอใจทั้งสอบฝ่าย ก็จะต้องจัดทำเอกสารคู่มือระบบรวมถึงการฝึกอบรมผู้ใช้
2.2.4.7 การบำรุงรักษา (Maintenance) เป็นขั้นตอนการบำรุงรักษาระบบทั้งนี้ข้อบกพร่องในด้านการทำงานของโปรแกรมอาจเพิ่งค้นพบได้ ซึ่งจะต้องดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องรวมถึงกรณีที่ข้อมูลที่จัดเก็บมีปริมาณมากขึ้น การขยายระบบเครือข่าย เพื่อรองรับเครื่องลูกข่ายที่มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งต้องวางแผนรองรับเหตุการณ์นี้ด้วย นอกจากนี้งานบำรุงรักษายังเกี่ยวข้องกับการเขียนโปรแกรมเพิ่มเติม กรณีที่ผู้ใช้มีความต้องการเพิ่มขึ้นการวิเคราะห์และออกแบบระบบ เป็นวิธีการพัฒนาระบบงานเดิมที่มีปัญหาให้เป็นระบบงานใหม่ที่ดีขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาระบบ เพื่อให้ระบบมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
รูปภาพแสดงสัญลักษณ์ที่ใช้ในการออกแบบ Data Flow Diagram (DFD)
สัญลักษณ์ที่ใช้เป็นมาตรฐานในการแสดงแผนภาพกระแสข้อมูลมีหลายชนิด แต่ใน ที่นี้จะแสดงให้เห็นเพียง 2 ชนิด ได้แก่ ชุดสัญลักษณ์มาตรฐานที่พัฒนาโดย Gene and Sarson และชุดสัญลักษณ์มาตรฐานที่พัฒนาโดย DeMarco and Yourdon
2.5.1 แนวคิดของแบบจำลองขั้นตอนการทำงานของระบบ การสร้างแบบจำลองขั้นตอนการทำงานโดยใช้ Data Flow Diagram มีแนวคิดต่างๆ ดังนี้
1 ขั้นตอนการทางานของระบบ (Process)
2 เส้นทางการไหลของข้อมูล (Data Flow)
3 ตัวแทนข้อมูล (External Agent)
4 แหล่งจัดเก็บข้อมูล (Data Store)
2.2 ระบบฐานข้อมูล (Data System)
ฐานข้อมูล คือ กลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน เช่นกลุ่มข้อมูลเกี่ยวกับพนักงานบริษัทประกอบด้วย รหัสพนักงาน ชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ และกลุ่มข้อมูลดังกล่าวถูกจัดเก็บอยู่รวมกันหลาย ๆ กลุ่ม ซึ่งอาจจะเก็บอยู่ในรูปแฟ้มเอกสารหรืออยู่ในคอมพิวเตอร์ กล่าวโดยสรุปแล้ว ฐานข้อมูลมีลักษณะสำคัญ คือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลข้อมูลที่จัดเก็บมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน สามารถแสดงออกมาอยู่ในรูปแบบของตารางได้
2.2.1 ส่วนประกอบของตารางข้อมูลในฐานข้อมูล
โดยทั่วไปแล้วตารางข้อมูลที่ใช้งานกันจะประกอบด้วย แถว (Row) และคอลัมน์ (Column) ต่างๆแต่ถ้ามองกันในรูปแบบของฐานข้อมูลแล้ว จะเรียกรายละเอียดในแถวว่า เรคอร์ด (Record) และเรียกรายละเอียดใน แนวคอลัมน์ ว่า ฟิลด์ (Field) ในฐานข้อมูล 1 ระบบอาจประกอบด้วยตารางข้อมูลมากกว่า 1 ตาราง ฐานข้อมูลที่มีตารางข้อมูลมากกว่า 1 ตาราง และมีตารางตั้งแต่ 1 คู่ขึ้นไปที่มีความสัมพันธ์กันด้วยฟิลด์ใดฟิลด์หนึ่ง เรียกฐานข้อมูลประเภทนี้ว่า “ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์”หรือ Relational Database เช่น การออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลโดยใช้ ER – Diagram ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐานดังนี้
2.2.2 ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูล
ฐานข้อมูลจะช่วยสร้างระบบการจัดเก็บข้อมูลขององค์กรให้เป็นระเบียบ แยกข้อมูลตามประเภท ทำ
ให้ข้อมูลประเภทเดียวกันจัดเก็บอยู่ด้วยกัน สามารถค้นหาและเรียกใช้ได้ง่าย ไม่ว่าจะนำมาพิมพ์รายงาน นำมาคำนวณ หรือนำมาวิเคราะห์ ซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้ประโยชน์ขององค์กรหรือหน่วยงานนั้น ๆ กล่าวได้ระบบฐานข้อมูลมีข้อดีมากกว่าการเก็บข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูล ดังนี้
2.2.2.1 หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้
2.2.2.2 สามารถใช้ข้อมูลร่วมกัน
2.2.2.3 สามารถลดความซับซ้อนของข้อมูล
2.2.2.4 การรักษาความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล
2.2.2.5 สามารถกำหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้
2.2.2.6 สามารถกำหนดระบบรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลได้
2.2.3 ประโยชน์ของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
2.2.3.1 ช่วยลดความซับซ้อนของการจัดเก็บข้อมูล
2.2.3.2 ช่วยให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลได้ตรงกัน (ข้อมูล Updateได้ทันเวลาเนื่องจากข้อมูลถูกแก้ไขจากที่เดียวกัน
2.2.3.3 ช่วยป้องกันการผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลและแก้ไขข้อมูล (ป้อนข้อมูลที่ตารางหลัก)
2.2.3.4 ช่วยประหยัดเนื้อที่การจัดเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์ และอื่นๆ (ไม่เก็บข้อมูลซ้ำซ้อน เก็บข้อมูลเท่าที่จาเป็น)
2.2.4 โครงสร้างของฐานข้อมูล
โครงสร้างของฐานข้อมูลประกอบด้วย
2.2.4.1 Character คือ ตัวอักขระแต่ละตัว / ตัวเลข / เครื่องหมาย
2.2.4.2 Field คือ เขตข้อมูล / ชุดข้อมูลที่ใช้แทนความหมายของสื่อโครงสร้าง เช่นชื่อของบุคคล ชื่อของวัสดุสิ่งของ
2.2.4.3 Record คือ ระเบียนหรือรายการข้อมูล เช่น ระเบียนของพนักงานแต่ละคน
2.2.4.4 Table/File คือ ตารางหรือแฟ้มข้อมูลประกอบขึ้นด้วยระเบียนต่างๆ เช่นตารางข้อมูลของบุคคล ตารางข้อมูลของวัสดุสิ่งของ
2.2.4.5 Database คือ ฐานข้อมูลประกอบด้วยตาราง และแฟ้มข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กัน
2.2.5 องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลโดยส่วนใหญ่แล้ว เป็นระบบที่มีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในกระบวนการจัดเก็บข้อมูล ค้นหาข้อมูลมูลประมวลผลข้อมูล เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ต้องการแล้วนำไปใช้ในการปฏิบัติงานและบริหารงานของผู้บริหาร โดยอาศัยโปรแกรมเข้ามาช่วยจัดการข้อมูล จากกระบวนการดังกล่าวนี้ระบบฐานข้อมูลจึงมีองค์ประกอบ 5 ประเภท คือ
2.2.5.1 ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ในระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพควรมีฮาร์ดแวร์ต่างๆ ที่พร้อมจะอำนวยความสะดวกในการบริหารระบบงานฐานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นขนาดของหน่วยความจำความเร็วของหน่วย ประมวลผลกลาง อุปกรณ์นำเข้าและออกรายงาน รวมถึงหน่วยความจำสำรองที่รองรับการประมวลผลข้อมูลใน ระบบที่มีประสิทธิภาพ
2.2.5.2 โปรแกรม (ProgramหรือSoftware) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลการสร้างฐานข้อมูล การเรียกใช้ข้อมูล และการจัดทำรายงาน เรียกว่า โปรแกรมระบบจัดการฐานข้อมูล
2.2.5.3 ข้อมูล (Data) หมายถึง สิ่งที่เราต้องการเก็บและสามารถนามาใช้อีกในภายหลังใน Access ข้อมูลสามารถเป็น ข้อความ, ตัวเลข, วันที่, ภาพ, ไฟล์, และอื่นๆ ได้ ข้อมูลที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูลควรมีคุณสมบัติดังนี้
1 มีความถูกต้อง ทันสมัย สมเหตุสมผล
2 มีความซับซ้อนของข้อมูลน้อยที่สุด
3 มีการแบ่งกันใช้งานข้อมูล
2.2.5.4 ขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Procedure) เป็นขั้นตอนและวิธีการต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อการทำงานที่ถูกต้องและเป็นไปตามขั้นตอนที่ได้กำหนดไว้ จึงควรทำเอกสารที่ระบุขั้นตอนการทำงานของหน้าที่ต่าง ๆ ในระบบฐานข้อมูลทั้งขั้นตอนปกติ และขั้นตอนในสภาวะที่ระบบเกิดปัญหา (Failure)
2.2.6 สาเหตุที่ต้องมีฐานข้อมูล
ระบบงานต่างๆที่ไม่ได้เป็นระบบฐานข้อมูล แฟ้มจะถูกออกแบบเพื่อใช้ในเฉพาะงานนั้นและพบเสมอว่าแฟ้มข้อมูลของงานที่อยู่คนละที่มีข้อมูลเหมือนกันซับซ้อนกันก่อให้เกิดปัญหาต่างๆในการทำงานเป็นการยากที่จะรักษาความถูกต้องและสอดคล้องกันของข้อมูลเหล่านั้น สาเหตุก็เกิดจากการเก็บคนละที่ คนละแหล่ง และการค้นหาข้อมูลจะต้องใช้เวลามาก บางครั้งก็หาข้อมูลไม่พบเลย บ่อยครั้งที่ผู้ใช้งานและผู้บริหารมีความต้องการข้อมูลในการตัดสินใจก็แทบหาไม่ได้เอาเสียเลยตลอดจนการพัฒนาระบบเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการทำงานจะพัฒนาระบบงานเก็บเอกสารยากมาก โดยเฉพาะการเก็บเอกสารระบบซุกกิ่ง ตลอดจนสิ้นเปลืองพื้นที่ สิ้นเปลืองครุภัณฑ์และสิ้นเปลืองเวลาในการเก็บและค้นหา
2.2.7 ระบบจัดการฐานข้อมูล
การควบคุมดูแลและการใช้ฐานข้อมูลเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนต้องมีการกำหนดโครงสร้าในการเก็บข้อมูลควรจะเป็นอย่างไร การเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างและเรียกใช้ข้อมูลจากโครงสร้างที่กำหนดก็เป็นเรื่องยุ่งยากด้วย และยิ่งถ้าเกิดโปรแกรมที่เขียนเหล่านั้นเกิดทำงานผิดพลาดขึ้นมา ก็จะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างของข้อมูลทั้งหมด เพื่อเป็นการลดภาระการทำงานของผู้สร้างและผู้ใช้ข้อมูลจึงได้มีโปรแกรมขึ้นมา ซึ่งมีชื่อว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือ DatabaseManagement System (DBMS) โดย DBMS จะเป็นโปรแกรมสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล
2.2.8 หน้าที่ของระบบจัดการฐานข้อมูล
2.2.8.1 กำหนดและเก็บโครงสร้างฐานข้อมูล(Define and Store DatabaseStructure)
2.2.8.2 การเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล(Load Database)
2.2.8.3 เก็บและดูแลข้อมูล(Store and Maintain Data)
2.2.8.4 ประสานกับระบบปฏิบัติการ (Operation System)
2.2.8.5 ควบคุมความปลอดภัย (Security Control)
2.2.8.6 จัดทำข้อมูลสำรองและการกู้(Backup and Recovery)
2.2.8.7 ควบคุมการใช้ข้อมูลพร้อมกันได้ (Concurrency Control)
2.2.8.8 ควบคุมค่าของข้อมูลในระบบให้ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น อาจเรียกว่า การควบคุมบูรณภาพของข้อมูล (Integrity Control)
2.2.8.9 จัดทำพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary)
2.2.9 ข้อดีของการจัดเก็บ ข้อมูลแบบฐานข้อมูล
2.2.9.1 หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้ (Inconsistency Can Be Avoided)
2.2.9.2 ใช้ข้อมูลร่วมกันได้ (The Data Can Be Shared)
2.2.9.3 ลดความซับซ้อนของข้อมูล (Redundancy Can Be Reduced)
2.2.9.4 กำหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้ (Standard Can Be Enforced)
2.2.9.5 กำหนดระบบรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลได้ (Security RestrictionCan Be Applied)
2.2.9.6 การรักษาความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล
2.2.9.7 ความอิสระของข้อมูล (Data Independence)
2.2.9.8 ข้อเสียของการจัดเก็บข้อมูลแบบฐานข้อมูล
2.2.9.9 ต้นทุนสูง ทุกองค์ประกอบของระบบฐานข้อมูลมีราคาสูง
2.2.9.10 มีความซับซ้อน
2.2.9.11 เสี่ยงต่อการหยุดชะงักของระบบ
2.3 โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล (Database Management System (DBMS)
คือ ชุดของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ควบคุมการสร้างการบำรุงรักษาและการใช้ ฐานข้อมูลจะช่วยให้องค์กรสามารถที่ควบคุมการพัฒนาฐานข้อมูลในมือของ ผู้บริหารฐานข้อมูล (DBA) และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ DBMS เป็นแพ็คเกจซอฟต์แวร์ระบบที่ช่วยให้ใช้การจัดเก็บรวมของระเบียนข้อมูลและไฟล์ที่รู้จักกันเป็นฐานข้อมูล จะช่วยให้ผู้ใช้โปรแกรมประยุกต์ใช้งานที่แตกต่างกันเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงฐานข้อมูลเดียวกัน DBMS อาจใช้ใด ๆ ของความหลากหลายของแบบจำลองฐานข้อมูล เช่น รูปแบบเครือข่าย หรือ รูปแบบเชิงสัมพันธ์ ในระบบขนาดใหญ่ DBMSช่วยให้ผู้ใช้และซอฟต์แวร์อื่น ๆ เพื่อจัดเก็บและดึงข้อมูลใน โครงสร้าง ทาง แทนที่จะมีการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการดึงข้อมูลผู้ใช้สามารถถามคำถามง่ายๆใน ภาษาแบบสอบถาม ดังนั้นแพกเกจ DBMS หลายแห่งที่มี ภาษาโปรแกรมยุคที่สี่ (4GLs) และคุณลักษณะการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์อื่นๆ แต่จะช่วยระบุองค์กรตรรกะสำหรับฐานข้อมูลและการเข้าถึงและใช้ข้อมูลภายในฐานข้อมูล มันมีสิ่งอานวยความสะดวกในการควบคุม การเข้าถึงข้อมูล , การบังคับใช้ ข้อมูลความสมบูรณ์ , การจัดการการทำงานพร้อมกันและการคืนค่าฐานข้อมูลจากการสำรองข้อมูล DBMS ยังมีความสามารถในการมีเหตุผลนาเสนอข้อมูลฐานข้อมูลให้กับผู้ใช้ คำว่า Software, Program และApplication มีผู้ใช้แทนกันได้ในหลายโอกาส ในเอกสารนี้ขอเรียกกว่า Application ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากเราจะพัฒนาโปรแกรมกันบนโปรแกรมสำเร็จรูปที่เรียกว่า Microsoft Access 2000 การพัฒนาโปรแกรมสำหรับจัดการฐานข้อมูลดังกล่าว เป็นงานที่ไม่ง่ายและไม่ยากจนเกินไป ผู้ใช้ที่ไม่ใช่ Programmer อาจใช้โปรแกรม Microsoft Access 2000 นำมาพัฒนาเป็นโปรแกรมสำหรับงานของตนเองได้
2.3.1 โปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซส (Access)
สำหรับ Microsoft Access 2000 แล้วเป็นระบบการจัดการฐานข้อมูล(Database Management System, DBMS) แบบสัมพันธ์ (Relational Database Management System, RDBMS)ซึ่งฐานข้อมูลของ Access จะมองแฟ้มข้อมูลเป็นแบบตาราง (Table) ถ้าเปรียบเทียบก็จะคล้ายๆ กับโปรแกรม dBase, FoxBASE แต่จะต่างกันตรงที่ว่า Access 1 แฟ้มข้อมูลจะสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่า 1ตาราง ซึ่งประกอบไปด้วยฟิลด์หรือคอลัมน์และเรคอร์ดหรือแถว โดยในแต่ละตารางต้องมีคีย์ที่เหมือนกันจึงจะสามารถเชื่อมโยงตาราง 2 ตารางหรือมากกว่าให้สัมพันธ์กันเพื่อที่จะนำมาใช้งานได้ต่อไป Microsoft Access เป็นโปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลโปรแกรมหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการจัดการฐานข้อมูลได้ดีอย่างยิ่ง มีความสมบูรณ์มากกว่าโปรแกรมจัดการ
ฐานข้อมูลเดิมๆ Microsoft Access เป็นโปรแกรมที่ทำงานบน Microsoft Windows ทำให้การทำงานทำได้ง่ายสะดวก รวดเร็ว และมี Tools ที่ช่วยการทำงานมากจึงไม่จำเป็นต้องจดจำคำสั่งในการทำงาน คาว่า Microsoft Access 2000 ต่อไปนี้ขอเรียกว่า Access การสร้างไฟล์ฐานข้อมูลนี้ จะกล่าวถึงเนื้อหาดังนี้ ชนิดของ Object (วัตถุ) ของ Access โครงสร้างของฐานข้อมูล ชนิดของข้อมูลของเขตข้อมูลในตาราง ขั้นตอนในการสร้างฐานข้อมูล การสร้างตาราง (Table) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก
2.3.2 ขั้นตอนในการสร้างฐานข้อมูล
ในการสร้างฐานข้อมูลพอจะสรุปขั้นตอนในการสร้างฐานข้อมูลได้ดังนี้
2.3.2.1 กำหนดวัตถุประสงค์ของฐานข้อมูล ขั้นตอนแรกในการสร้างฐานข้อมูลนั้น คือ ผู้ใช้ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ในการสร้างและกำหนดว่าฐานข้อมูลจะถูกใช้อย่างไร ที่สำคัญคือต้องทราบว่าต้องการข้อมูลใดบ้างจากฐานข้อมูล จึงจะสามารถกำหนดหัวเรื่องต่างๆ ที่จาเป็นต้องเก็บข้อมูล และข้อมูลใดบ้างที่จะต้องเก็บในแต่ละหัวเรื่อง นอกจากนั้นจะต้องมีการปรึกษากับผู้ที่จะใช้ฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นมา เพื่อทราบความต้องการว่าผู้ใช้ต้องการฐานข้อมูลอย่างไร จากนั้นก็รวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในการสร้างฐานข้อมูล
2.3.2.2 สร้างตารางที่ต้องการ การสร้างตารางเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากที่สุดในขั้นตอนของการออกแบบฐานข้อมูล เนื่องจากตารางนั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดในฐานข้อมูล ถ้าออกแบบตารางได้ดี ก็สามารถนำข้อมูลจากตารางนั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ เช่น Query, รายงานแบบฟอร์ม เป็นต้น อย่างไรก็ตามเราควรจะรู้กฎหรือแนวทางปฏิบัติในการสร้างตารางด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการทำงาน สำหรับแนวทางในการสร้างตารางพอสรุปได้ดังนี้
1 ข้อมูลที่อยู่ในตารางและระหว่างตารางไม่ควรมีซ้ำกัน
2 แต่ละตารางควรมีข้อมูลเพียงหนึ่งหัวเรื่องเท่านั้น
3 กำหนด Field ที่ต้องการ ในแต่ละตารางจะมีข้อมูลที่อยู่ในเรื่องเดียวกัน
เช่น ตารางนักเรียนอาจมี Field ของชื่อนักเรียน ที่อยู่ วิชาที่ลงทะเบียน เกรด เป็นต้น ถ้าต้องการกำหนด Field ต่างๆ ลงในตาราง ควรคำนึงถึงข้อกำหนดว่าแต่ละ Field ควรมีความสัมพันธ์กับหัวเรื่องของตาราง ไม่ควรสร้าง Field ที่เป็นผลได้มาจากการคำนวณ และรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการ
2.3.2..3 เก็บข้อมูลในส่วนที่เล็กที่สุด การเก็บที่อยู่ ควรเก็บบ้านเลขที่ หมู่ที่ ถนนอำเภอ จังหวัด รหัสไปรษณีย์ แทนที่จะเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้รวมอยู่ใน Field เดียวกัน
2.3.2..4 ระบุ Field ต่างๆ ซึ่งมีค่าที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละ Record เพื่อที่จะให้ Microsoft Access เชื่อมต่อกับข้อมูลที่เก็บในแต่ละตาราง เช่น เชื่อมต่อข้อมูลลูกค้ากับข้อมูลการสั่งซื้อของลูกค้ารายนั้นทั้งหมด แต่ละตารางในฐานข้อมูลจะต้องมี Field หรือชุดของ Field ที่สามารถระบุถึงแต่ละ Record ในตารางได้โดยที่ไม่มีค่าที่ซ้ำกัน ซึ่งจะเรียก Field หรือชุดของ Field ที่มีลักษณะเช่นนั้นว่า คีย์หลัก หรือ Field หลัก
2.3.2..5 กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตาราง เมื่อมีการป้อนข้อมูลลงในตารางต่างๆและมีการระบุ Field ที่เป็นคีย์หลักแล้ว ในกรณีที่มีตารางมากกว่า 1 ตารางที่ทำงานสัมพันธ์กันจะต้องมีการกำหนดความสัมพันธ์ของตารางเหล่านั้น
2.3.2..6 ปรับปรุงการออกแบบหลังจากที่ได้สร้างตาราง Field และความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เราต้องการ แล้วขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการปรับปรุงการออกแบบและตรวจหาข้อบกพร่องที่อาจยังคงเหลืออยู่ซึ่งจะเป็นการง่ายหากมีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบฐานข้อมูลในตอนนี้ ดีกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ได้มีการป้อนข้อมูลลงไปในตารางแล้ว
2.3.2..7 ป้อนข้อมูลและสร้างส่วนต่างๆ ของฐานข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อพอใจว่าโครงสร้างของตารางตรงกับหลักการออกแบบดังที่อธิบายมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะทำงานต่อไป และเพิ่มข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดของในตาราง จากนั้นก็สามารถสร้างแบบสอบถาม ฟอร์ม รายงาน Data access pages แมโคร และ โมดูล ตามที่ต้องการได้
2.4 ยูสเคสไดอาแกรม
ยูสเคสไดอาแกรม คือแผนภาพที่แสดงการทำงานของผู้ใช้ระบบ (User) และความสัมพันธ์กับระบบย่อย (Sub systems) ภายในระบบใหญ่ ในการยูสเคสไดอาแกรม ผู้ใช้ระบบ (User) จะถูกกำหนดว่าให้เป็นแอคเตอร์ (Actor) และระบบย่อย (Sub systems) คือยูสเคส จุดประสงค์หลักของการเขียนยูสเคสไดอาแกรม ก็เพื่อเล่าเรื่องราวทั้งหมดของระบบว่า มีการทำงานอะไรบ้างเป็นการดึงความต้องการหรือเรื่องราวต่าง ๆ ของระบบจากผู้ใช้งาน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการวิเคราะห์และออกแบบระบบ สัญลักษณ์ที่ใช้ในยูสเคสไดอาแกรม จะใช้สัญลักษณ์รูปคนแทนแอคเตอร์ ใช้สัญลักษณ์วงรีแทนยูสเคส และใช้เส้นตรงในการเชื่อมแอคเตอร์ กับยูสเคส เพื่อแสดงการใช้งานของยูสเคสของแอคเตอร์นอกจากนั้นยูสเคส ทุก ๆ ยูสเคสจะต้องอยู่ภายในสี่เหลี่ยมเดียวกัน (System Boundary) ซึ่งมีชื่อของระบบระบุอยู่
สัญลักษณ์ภายใน Use Case Diagram มีดังนี้
Use Case คือ หน้าที่ที่ระบบต้องกระทา ใช้สัญลักษณ์รูปวงรี พร้อมทั้งเขียนชื่อ Use Case ซึ่งต้องใช้คากริยาหรือกริยาวลีก็ได้
แสดงสัญลักษณ์ Use Case
Actor คือ ผู้เกี่ยวข้องกับระบบ ซึ่งรวมทั้ง Primary Actor และ Stakeholder Actor ที่เป็นมนุษย์ ในที่นี้จะใช้สัญลักษณ์รูปคน (Stick Man Icon) เหมือนกัน พร้อมทั้งเขียนชื่อActor ไว้ด้านล่างของสัญลักษณ์ด้วย แต่หากเป็น Actor ที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ระบบงานอื่นที่อยู่นอกเหนือระบบที่เราสนใจ จะใช้รูปสี่เหลี่ยมแล้วเขียนคาว่า “<<actor>>” ไว้ด้านบน
แสดงสัญลักษณ์ Actor
System Boundary เส้นแบ่งขอบเขตระหว่างระบบกับผู้กระทาต่อระบบ (Use Case กับ Actor) ใช้รูปสี่เหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์ พร้อมทั้งเขียนชื่อระบบไว้ด้านใน
แสดงสัญลักษณ์ System Boundary
Connection คือ เส้นที่ลากเชื่อมต่อระหว่าง Actor กับ Use Case ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ใช้เส้นตรงไม่มีหัวลูกศรเป็นสัญลักษณ์ของ Connection ส่วน Connection ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่าง Use Case กับ Use Case กรณีที่ Use Case นั้นมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จะใช้สัญลักษณ์เส้นตรงมีหัวลูกศร พร้อมทั้งเขียนชื่อความสัมพันธ์ไว้ตรงกลางเส้นด้วย โดยเขียนไว้ภายในเครื่องหมาย <<...>>
แสดงสัญลักษณ์ Connection
Extend Relationship เป็นความสัมพันธ์แบบขยายหรือเพิ่ม เกิดขึ้นในกรณีที่บาง Use Case ดำเนินกิจกรรมของตนเองไปตามปกติ แต่อาจจะมีเงื่อนไขหรือสิ่งกระตุ้นบางอย่างที่ส่งผลให้กิจกรรมตามปกติของ Use Case นั้นถูกรบกวนจนเบี่ยงเบนไป ซึ่งเราสามารถแสดงเงื่อนไขหรือสิ่งกระตุ้นเหล่านั้นได้ในรูปของ “Use Case” และเรียกความสัมพันธ์ระหว่าง Use Case ในลักษณะนี้ว่า “Extend Relationship” โดยเรียก Use Case ที่ถูกรบกวนหรือUse Case ที่ดาเนินงานตามปกติว่า “Base Use Case” และเรียก Use Case ที่ทำหน้าที่รบกวนหรือกระตุ้น Base Use Case ว่า “Extending Use Case”
กล่าวโดยสรุป ก็คือ Use Case หนึ่งทาหน้าที่ตามปกติ เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นจะต้องทาหน้าที่พิเศษเพิ่ม โดยหน้าที่พิเศษที่เพิ่มขึ้นก็ คือ“Extending Use Case”นั่นเอง ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า Use Case ที่เป็น Extending Use Case จะเกิดขึ้นเพียงบางครั้งเท่านั้น (ไม่ได้เกิดขึ้น ทุกครั้งที่ดาเนินกิจกรรมตาม Base Use Case) การวาดเส้น Connection เชื่อมระหว่าง Use Case ทั้งสอง ให้เริ่มต้นลากเส้นตรงจาก Extending Use Case หันลูกศรชี้ไปที่ Base Use Case
แสดงการวาดเส้น Connection เชื่อมระหว่าง Extending Use Case กับ Base Use Case
แสดงตัวอย่าง Extend Relationship ของระบบลงทะเบียนได้
แสดง Use Case Diagram ที่มีความสัมพันธ์แบบ Extend Relationship
จากรูป สังเกตที่ Use Case “Register Course” ซึ่งเป็น Base Use Case คือ ทาหน้าที่รับลงทะเบียนตามปกติ แต่เมื่อมีเงื่อนไขหรือมี เหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้น คือ “นักศึกษาบางคนอาจมีการลงทะเบียนเรียนซ้ำเพื่อปรับเกรดด้วย (Regrade)” จึงได้เพิ่ม Extending Use Case เพื่อมารองรับหน้าที่พิเศษดังกล่าว นั่นคือ “Register Regrade”
Include Relationship ความสัมพันธ์อีกรูปแบบหนึ่งของ Use Case Diagram ก็คือ ความสัมพันธ์แบบเรียกใช้เกิดขึ้นในกรณีที่ Use Case หนึ่งไปเรียกหรือดึงกิจกรรมของอีก Use Case หนึ่งมาใช้เพื่อให้กิจกรรมนั้นเกิดขึ้นจริงใน Use Case ของตนเอง หรือกล่าวให้ง่ายกว่านั้นคือกิจกรรมใน Use Case หนึ่ง อาจจะถูกผนวกเข้าไปรวมกับกิจกรรมของอีก Use Case หนึ่ง เราเรียกความสัมพันธ์ระหว่าง Use Case ในลักษณะนี้ว่า “Include Relationship” โดย Use Case ที่ทาหน้าที่ดึงกิจกรรมมาจาก Use Case อื่นๆ เรียกว่า “Base Use Case” ในขณะที่ Use Case ที่ถูกเรียก หรือถูกดึงกิจกรรมมาใช้ เรียกว่า“Included Use Case” สามารถเขียนเส้น Connection ได้ในทิศทางตรงกันข้ามกับ Extend Relationship โดยเริ่มต้นลากเส้นตรงจาก Base Use Case หันลูกศรชี้ไปที่ Included Use Case แล้วเขียนชื่อ Relationship “<<uses>>” (บางตาราจะใช้คำว่า <<include>>) ไว้ตรงกลางเส้นด้วย
แสดงการลากเส้น Connection ระหว่าง Base Use Case กับ Included Use Case
ความสัมพันธ์ระหว่าง Use Case แบบ Include เป็นการสนับสนุนหลักการนากลับมาใช้ใหม่ของ Use Case (Use Case Reusability) กล่าวคือ Use Case หนึ่งสามารถถูก Include ได้โดย Base UseCase หลายๆ ตัว และสามารถถูก Include ได้มากกว่าหนึ่งครั้งด้วย เช่น ในการทำงานของระบบเอทีเอ็ม Use Case “การตรวจสอบผู้เข้าใช้ระบบ (Validate User)” สามารถเป็น Included Use Case ให้กับ Base Use Case หลายๆ ตัว ได้แก่ Base Use Case “การถอนเงิน (Withdraw Money)” และ Base Use Case “การโอนเงิน (Transfer Money)”
ดังนั้น เมื่อพิจารณาแล้ว Use Case “ตรวจสอบรายวิชา (Checkout Course)” สามารถถูกเรียกใช้จาก Use Case “ลงทะเบียนเรียน (Register Course)” ได้ ดังนั้น Use Case “Checkout Course” มีความสัมพันธ์กับ Use Case “Register Course” แบบ Include แสดง Use Case Diagram อีกครั้ง
แสดง Use Case Diagram ที่มี Included Relationship
2.5 ความสัมพันธ์ภายในยูสเคสไดอาแกรม
ความสัมพันธ์ภายในยูสเคสไดอาแกรมจะถูกนำเสนอในรูปของเส้นตรงที่เชื่อมต่อระหว่างแอคเตอร์หรือยูสเคส พร้อมด้วยทางเลือกที่แสดงในรูปของหัวลูกศรด้านหนึ่งที่ใช้สำหรับแสดงทิศทางของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น มีความสัมพันธ์ดังต่อไปนี้
1.ความสัมพันธ์ระหว่างแอคเตอร์ ความสัมพันธ์ระหว่างแอคเตอร์ภายในยูสเคสจะถูกระบุไว้เพียงแบบเดียว คือความสัมพันธ์แบบสืบทอด (Generalization) คือ แอคเตอร์ หนึ่งสามารถสืบทอดการกระทำของอีก แอคเตอร์ หนึ่งได้โดยแอคเตอร์ที่ถูกสืบทอดจะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับแอคเตอร์เดิมทุกประการ นอกจากนั้นยังสามารถเพิ่มคุณสมบัติพิเศษที่ต้องการไปยังแอคเตอร์ที่สืบทอดได้
2. ความสัมพันธ์ระหว่างแอคเตอร์กับยูสเคส สัญลักษณ์ลูกศรระหว่างแอคเตอร์กับยูสเคส จะใช้แทนความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่ได้เป็นการนำเสนอการไหลของข้อมูล แต่เป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่าแอคเตอร์มีความเกี่ยวข้องกับยูสเคสทางใดทางหนึ่งเท่านั้น
3. ความสัมพันธ์ระหว่างยูสเคส ยูสเคสแต่ละยูสเคส จะแสดงความสัมพันธ์กันภายในระบบด้วยสัญลักษณ์พิเศษที่กำหนดไว้ในยูเอ็มแอลที่เรียกว่า สเตอริโอไทป์ (Stereotype) กำกับไว้ที่เส้นแสดงความสัมพันธ์เสมอ ซึ่งมีอยู่สองแบบคือ
3.1 ความสัมพันธ์แบบรวม (Include)
เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในกรณีที่ยูสเคสหนึ่งมีการรวบรวมฟงั ก์ชันการทำงานของยูสเคสอื่นไว้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานปกติ โดยยูสเคสที่รวบรวมไว้จะถูกเรียกใช้เสมอเมื่อมีการประมวลผลยูสเคสหลัก การเขียนสัญลักษณ์แทนความสัมพันธ์แบบรวม นั้นใช้สัญลักษณ์เส้นประพร้อมหัวลูกศรชี้ไปยังยูสเคสที่ถูกเรียกใช้งานและมีคำว่า <<include>> กำกับอยู่บนเส้นลูกศร
3.2 ความสัมพันธ์แบบขยาย (Extend)
ยูสเคสที่มีความสัมพันธ์แบบนี้จะใช้สำหรับนำเสนอการทำงานในกรณีที่ยูสเคสปกติไม่สามารถกำหนดรายละเอียดการทำงานได้ครอบคลุมทัง้ หมดซึ่งยูสเคสที่ขยายออกมาจะเป็นการทำงานในลักษณะที่เป็นทางเลือก ซึ่งมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ดังนั้นจึงถือได้ว่ายูสเคสแรกสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่ายูสเคสที่ขยายออกมาไม่ได้มีการประมวลผลก็ตาม สัญลักษณ์ที่ใช้แทนความสัมพันธ์แบบขยายก็คือ ใช้สัญลักษณ์เส้นประที่ปลายลูกศรจะชี้ไปยังยูสเคสหลักเสมอ และมีคำว่า << extend >> กำกับ
การค้นหายูสเคส
ค้นหายูสเคสได้จากความรับผิดชอบหรือหน้าที่ของระบบ ที่จะต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ (แอคเตอร์) ซึ่งสามารถใช้รูปแบบของ ประธาน+ กริยา + กรรม ตัวอย่างเช่น ลูกค้าร้องขอการบริการ ซึ่งในกรณีนี้การตอบสนองต่อการทำงานของแอคเตอร์จะได้แก่ ข้อมูลที่เกี่ยวกับการบริการที่ให้แก่ลูกค้า ซึ่งจะถูกกำหนดให้เป็นผลลัพธ์หรือเป้าหมายของยูสเคส การใช้เหตุการณ์ในการกำหนดยูสเคสจะเป็นจุดเริ่มต้นในการมองเห็นชื่อยูสเคสได้อย่างชัดเจน ส่วนที่เป็นประธานจะถูกเปลี่ยนให้เป็นแอคเตอร์ได้แก่ ลูกค้า(Customer) และส่วนที่เป็นกริยา ร้องขอ (Requests) จะถูกนำไปใช้ในการกำหนดชื่อยูสเคส ซึ่งการกำหนดในลักษณะนี้จะช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถกำจัดยูสเคสที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบออกไปได้
ยูสเคสและซีนาริโอ (Use Case and Scenarios)
เพื่อที่จะให้สามารถนำยูสเคสไปใช้งานในขัน้ ต่อไปในการวิเคราะห์ออกแบบ จะต้องมีการอธิบายรายละเอียดการทำงานของยูสเคส ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้นิยามที่เรียกว่าซีนาริโอ (Scenario) เพื่อใช้ในการอธิบายรายละเอียดพฤติกรรมการทำงานในสถานการณ์หนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ การสร้างซีนาริโอจากยูสเคสสามารถทำได้โดยการมองทุก ๆผลลัพธ์ของการทำงานที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ซีนาริโอจะถูกนำมาจัดทำให้อยู่ในรูปของเอกสารเพื่อใช้สำหรับการนำเสนอลำดับของการทำงานที่เกิดขึ้นภายในยูสเคส ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่ง เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ซึ่งรายละเอียดสามารถสรุปได้ดังนี้
แสดงการกำหนดรายละเอียดของ Use case
บทที่ 3
ขั้นตอนการดำเนินงาน
โครงงานนี้จัดทำขึ้นเพื่อแก้ปัญหาให้กับบริษัททั้งในด้านการตลาด และการดำเนินการทางธุรกรรมต่าง ๆ ของบริษัท ในเรื่องความล่าช้าและการทำงานที่ซ้ำซ้อน โดยการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่สามารถทำงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยให้การทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ขาย ผู้ซื้อ และพนักงานได้ตลอดเวลาและทุก ๆ สถานที่ ๆ สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้โดยแบ่งการดำเนินงานเป็นขั้นตอน
3.1 การศึกษาและรวบรวมข้อมูล
การศึกษาและรวบรวมข้อมูล ดำเนินการโดยการศึกษาระบบการทำงานต่าง ๆ ของบริษัทตั้งแต่การจัดซื้อ การขาย ตลอดจนกระบวนการทำงานต่าง ๆ ดังมีรายละเอียดดังนี้
3.1.1 การเข้าสู่ระบบ (Login)
การเข้าใช้งานระบบจะต้องผ่านการล็อกอิน (Login) เข้าสู่ระบบก่อนเสมอ การล๊อกอินระบบจะต้องมีการตรวจสอบชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน เมื่อตรวจสอบถูกต้องแล้ว ในขั้นถัดไประบบจะตรวจสอบสิทธิในการใช้งานระบบว่าผู้ใช้นั้น ๆ มีสิทธิใช้งานเมนูไหนได้บ้างก็จะแสดงเฉพาะเมนูนั้น ๆ และระบบจะต้องเก็บข้อมูลชื่อผู้ใช้ ชื่อ-นามสกุล และสถานะของผู้ใช้ (Admin,User) ไว้เพื่อใช้งานในระบบต่อไป
3.1.2 จัดการระบบ (Manage System)
เป็นส่วนที่พนักงานที่มีสถานะเป็นผู้ดูแลระบบ (Administrator) หรือผู้ใช้อื่นๆที่ทางผู้ดูแลระบบให้สิทธิเท่านั้นที่จะใช้งานระบบนี้ได้ ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลหลัก ๆ ของแต่ระบบย่อย ดังนี้
3.1.2.1 ผู้ดูแลระบบ
ผู้ดูแลระบบ ทำการ ( Login ) เพื่อทำการใช้งานระบบ มีหน้าที่จัดการข้อมูลของผู้ใช้งาน แก้ไขข้อมูล ลบข้อมูล สืบค้นข้อมูล จัดการสิทธิการใช้งานของผู้ใช้ระบบ
3.1.2.2 ลูกค้า
ลูกค้าจะต้องเข้าสู้ระบบ ( Login ) ทุกครั้งก่อนเข้าไปใช้ระบบ เลือกสินค้าที่ต้องการ สั่งซื้อสินค้า ชำระเงิน ตรวจสอบสถานการณ์การจ่ายเงิน
⦁ ผู้จัดการ
ผู้จัดการจะต้องเข้าสู้ระบบ ( Login ) เพื่อใช้งานระบบ มีหน้าที่ มอบหมายงานให้ผู้ดูแลระบบ สั่งซื้อ สินค้า สรุปรายการซื้อ – ขาย และการส่งออก
3.1.3 จัดการคลังสินค้า
3.1.3.1 วางแผนกำหนดปริมาณสินค้าในคลังสินค้าอย่างเหมาะสมเพื่อให้เป็นระบบต่อการขาย ถ้าสินค้ามีจำนวนน้อยกว่า 10 ชิ้น ทำการสั่งซื้อสินค้าเพิ่ม เพื่อจะไม่ให้สินค้าขาด
3.1.4 จัดการขายสินค้า
3.1.4.1 การขายสินค้า ( Sale Order ) การขายสินค้า
3.1.4.2 การเติมเต็มสินค้า เพื่อให้สินค้าเพียงพอต่อการขาย
3.1.4.3 การชำระเงิน ( Payments ) การชำระค่าสินค้าสามารถชำระค่าสินค้าเป็น บัตรเครดิค หรือเงินโอน รายละเอียดประกอบไปด้วย เลขที่การชำระ วันที่ชำระ รายละเอียด จำนวนเงินที่ชำระ เลขที่ใบส่งของ การชำระ
- ถ้าชำระเป็นเงินโอนจะประกอบไปด้วยข้อมูล วันที่โอน รายละเอียดการโอน เลขที่บัญชีธนาคารของบริษัทที่โอนเข้า และจำนวนเงินที่โอน
- ถ้าชำระเป็นบัตรเครดิตจะประกอบไปด้วยข้อมูล ชนิดบัตรหมายเลขบัตร ชื่อเจ้าของบัตร วันที่หมดอายุ และจำนวนเงิน
3.2 การวิเคราะห์ และออกแบบระบบ
เมื่อพิจารณาความต้องการของระบบแล้วผู้ใช้ระบบจะแบ่งเป็นกลุ่มคือ ผู้ดูแลระบบ ( Admin )
ลูกค้า ( Customers ) ผู้จัดการ ( Manager )
การทำงานของระบบจะแบ่งเป็นระบบย่อยและถูกนำเสนอผ่านยูสเคส (Use Case) และแอคเตอร์ (Actors) ดังรายละเอียดของระบบย่อยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
Use Case diagram
Actor ของระบบคือ
⦁ User
⦁ ผู้ดูแลระบบ
⦁ ผู้ส่งสินค้า
⦁ ผู้บริหาร
Use case ของระบบคือ
⦁ สมัครสมาชิก
⦁ Login
⦁ เลือกรายการสินค้า
⦁ สั่งซื้อสินค้า
⦁ ตรวจสอบรายการสินค้า
⦁ เพิ่มเติมรายการสินค้า
⦁ ส่งสินค้า
⦁ ชำระเงิน
⦁ ออกโปรโมชั่น
3.2.1.1 Use Case การสมัครสมาชิก
ลูกค้าทั่วไปสามารถสมัครสมาชิกได้โดยต้องกำหนดชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) รวมทั้งข้อมูลส่วนตัวที่จำเป็นต่อการสมัครให้ครบถ้วน
อธิบาย Use Case : การสมัครสมาชิก
3.2.1.2 Use Case Login
ใช้สำหรับตรวจสอบสิทธิของผู้ที่จะเข้ามาใช้ระบบทุกคน เมื่อต้องการใช้งานระบบจะต้องทำ การเข้าสู่ระบบ (Login) โดยกรอกชื่อผู้ใช้ (Username) รหัสผ่าน(Password) ระบบจะตรวจสอบว่ามีอยู่ในระบบและรหัสผ่านถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องระบบจะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบ แต่ถ้าถูกต้องระบบจะตรวจสอบว่า Username นั้น ๆ มีสิทธิในการใช้ระบบจากคลาส Authorize ถ้าไม่พบก็จะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบ และถ้าผู้ใช้นั้นมีสิทธิในการใช้ระบบ ๆ ก็จะแสดงเมนูเฉพาะที่ผู้ใช้นั้น ๆ มีสิทธิเพื่อใช้งานต่อไป
อธิบาย Use Case : Login
3.2.1.3 Use Case เลือกรายการสินค้า
ลูกค้าทั่วไปและลูกค้าสมาชิกสามารถดูรายการสมุนไพรต่างๆ ได้ ซึ่งจะมีข้อมูลรูปภาพรายของสมุนไพรและราคาของสมุนไพรแต่ละชนิด
อธิบาย Use Case : เลือกรายการสินค้า
3.2.1.4 Use Case สั่งซื้อสินค้า
อธิบาย Use Case : สั่งซื้อสินค้า
3.2.1.5 Use Case ส่งสินค้า
อธิบาย Use Case : ส่งสินค้า
3.2.1.6 Use Case ตรวจสอบรายการสินค้า
อธิบาย Use Case : ตรวจสอบรายการสินค้า
3.2.1.7 Use Case เพิ่มเติมรายการสินค้า
อธิบาย Use Case : เพิ่มเติมรายการสินค้า
3.2.1.8 Use Case ชำระเงิน
อธิบาย Use Case : ชำระเงิน
3.2.1.9 Use Case ออกโปรโมชั่น
อธิบาย Use Case : ออกโปรโมชั่น
3.2.2 รายละเอียดของคลาสไดอาแกรม (Class Diagram Specifications)
การสร้างคลาสไดอาแกรมจะเริ่มต้นจากการนำรายละเอียดของข้อมูลที่ปรากฏอยู่ภายในเอกสารประกอบยูสเคส ที่ถูกเขียนขึ้นตามรูปแบบของซีนาริโอที่กำหนดไว้ในรายละเอียดของแต่ละยูสเคสในส่วนของการทำงานปกติจะถูกนำมาค้นหาคำนามทั้งหมดโดยใช้วิธีการวิเคราะห์คำนาม เนื่องจากแนวโน้มของคลาสที่ใช้ภายในการวิเคราะห์และออกแบบระบบจะอาศัยคำนามเป็นหลัก คำนามเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้กำหนดคลาสคู่แข่ง และจากนั้นจะใช้ดัชนี ซีอาร์ซี พิจารณากำหนดคลาส ความสัมพันธ์ และแอททริบิวต์ที่จำเป็นต้องใช้ภายในระบบต่อไป
3.2.2.1 คลาสไดอาแกรม และความสัมพันธ์เบื้องต้น
1. การค้นหา Class ด้วยวิธีการค้นหาคำนาม
- สมัครสมาชิก
1. เริ่มต้นเมื่อเลือกฟังก์ชันเข้าสู่เว็บไซต์
2. ผู้ใช้กรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ต้องการใช้
3. ระบบตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูล
4. ข้อมูลครบถ้วนการสมัครสมาชิกเสร็จสมบูรณ์
- ล็อกอิน ( Login )
1. เริ่มต้นเมื่อเลือกฟังก์ชันเข้าสู่ระบบ
2. ผู้ใช้ใส่ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน
3. ระบบตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูล
4. ระบบค้นหาชื่อและรหัสผ่านภายในฐานข้อมูล
5. ระบบคืนค่าสถานการณ์ตรวจสอบจากฐานข้อมูล
6. ระบบตรวจสอบสถานการณ์คืนค่า
7. ระบบยอมให้เข้าสู่ระบบ
- เลือกรายการสินค้า
1. Use Case ทำการเข้าสู่ระบบเรียบร้อย
2.ระบบทำการแสดงรายการสมุนไพรที่มีอยู่ในระบบ
3.ลูกค้าดูรายการสินค้าที่มีอยู่ในระบบ
4.ลูกค้าทำการเลือกรายการสมุนไพรที่สนใจ
5.ลูกค้าทำการยืนยันในการเลือกสินค้า
6.ระบบทำการบันรายการสมุนไพรที่ลูกค้าได้เลือก
- สั่งซื้อสินค้า
1. ลูกค้าทำการสั่งซื้อสินค้า
2.ผู้จัดการร้านดูแลเช็คจำนวนสินค้าในร้าน
3.ผู้จัดการร้านดูแลเช็คสินค้ามีจำนวนน้อย
4.ผู้จัดการร้านดูแลบันทึกรายการสั่งซื้อ
5.ผู้จัดการร้านดูแลสั่งซื้อสินค้า
6.ผู้จัดการร้านดูแลชำระเงินเมื่อสินค้าได้รับ
7.ผู้จัดการร้านดูแลรับสินค้า
- ตรวจสอบรายการสินค้า
1. User และ ผู้ส่งสินค้า ตรวจสอบสินค้า
- เพิ่มเติมรายการสินค้า
1.จัดเตรียมสินค้าตามที่ลูกค้าสั่งเพิ่มเติม
2.จัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า
- ส่งสินค้า
1.จัดเตรียมสินค้าตามที่ลูกค้าสั่ง
2.พนักงานส่งสินค้าให้กับลูกค้า
- ชำระเงิน
1.ลูกค้าชำระยอดการชำระเงิน
2.ลูกค้าชำระเงิน
3.รับใบเสร็จการชำระเงิน
- ออกโปรโมชั่น
1.Use Case เริ่มการพิจารณาสินค้า
1.1.สมุนไพรขายได้ดี
1.1.2.ยังไม่เพิ่มโปรโมชั่น
1.2.สมุนไพรขายไม่ได้
1.2.1.เพิ่มโปรโมชั่นให้แก่ลูกค้า
2.เลือกโปรโมชั่นที่เหมาะสม
2.1.เหมาะสมกับรายการของสมุนไพรแต่ละชนิด
2.2.เหมาะสมกับลูกค้าที่มาซื้อ
2.2.1.ซื้อประจำ
2.2.2.ซื้อบางครั้ง
การหา Class ด้วยวิธีการค้นหาคำนาม
⦁ ผู้ดูแลระบบ
⦁ ล็อคอิน
⦁ ข้อมูล
⦁ ลูกค้า ซ้ำซ้อนกับ ผู้ใช้)
⦁ ผู้จัดการ
⦁ บันทึกรายการสั่งซื้อ
⦁ ชำระเงิน
⦁ ใบเสร็จการชำระเงิน (เป็นเอกสารที่ชำระเงินจึงไม่ซ้ำซ้อน)
⦁ โปรโมชั่น
2. การค้นหาคลาสตามกลุ่มลักษณะ (Common Class Pattern)
Class Diagram
คำอธิบาย Sequence Diagram
Sequence Diagram : การสมัครสมาชิก
ลูกค้าเริ่มทำการสมัครสมาชิก โดยการเข้าสู่เว็บบนคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน ทำการกรอกข้อมูลส่วนแสดงผลออกทางหน้าจอ
Sequence Diagram : Login
Sequence Diagram : รายการสินค้า
ลูกค้าทำการดูรายการสินค้าในคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน เพื่อเลือกดูรายการสมุนไพรทางเว็บการขายสินค้า
Sequence Diagram : การสั่งซื้อสินค้า
ลูกค้าทำการสั่งซื้อ โดยสั่งซื้อในคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน โดยสั่งซื้อจากรายการที่เลือกซื้อไว้ข้างต้น
Sequence Diagram : ส่งสินค้า
พนักงานส่งสินค้ารับสินค้าแล้วทำการตรวจสอบสินค้าตามรายการสินค้า หากสินค้าไม่ถูกต้องตามรายการสินค้าทำการแก้ไขและส่งสินค้าใหม่ พนักงานส่งสินค้าส่งสินค้าไปยังลูกค้าตามรายการที่ลูกค้าสั่ง
Sequence Diagram : ตรวจสอบรายการสินค้า
ลูกค้าได้รับสินค้าจากพนักงานส่งสินค้าแล้วทำการตรวจสอบสินค้าที่ได้ ถ้าสินค้าไม่ถูกต้องแจ้งพนักงานส่งสินค้าให้ทำการแก้ไขสินค้าและส่งสินค้าใหม่
Sequence Diagram : เพิ่มเติมรายการสินค้า
ลูกค้าทำการแก้ไขข้อมูลรายการสั่งซื้อสมุนไพรของลูกค้า โดยลูกค้าสามารถแก้ไขหรือเพิ่มเติมรายการสินค้าตามวันเวลาที่กำหนดจากทางร้านขายสมุนไพรเท่านั้น
Sequence Diagram : ชำระเงินผ่าน ATM
ลูกค้าสอดบัตร ATM กดเลขบัตรให้ถูกต้องแล้วเลือกทำรายการโอนเงิน กดเลขบัญชีร้านค้าให้ถูกต้องแล้วกดจำนวนเงินที่ต้องการโอน เครื่อง ATM แสดงผลการโอนเงินไปยังหมายเลขบัญชีร้านค้า ชำระเงินเสร็จสิ้น
Sequence Diagram : ชำระเงินปลายทาง
ลูกค้าได้รับสินค้าจากพนักงานส่งสินค้า ลูกค้าทำการชำระเงินค้าสินค้าให้กับพนักงานส่งสินค้า พร้อมรับใบเสร็จชำระเงินค่าสินค้า
Sequence Diagram : โปรโมชั่น
ผู้จัดการหาข้อมูลจากรายการสั่งซื้อสินค้าทำการเลือกสินค้า เพื่อนำออกโปรโมชั่นโดยนำเสนอสินค้าออกโปรโมชั่นทางหน้าจอ
อธิบาย Communication Diagram
Communication Diagram : การสมัครสมาชิก
ลูกค้าทำการสมัครสมาชิก โดยการเข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัว ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และอื่นๆ ที่มีในหน้าเว็บของทางร้านค้าที่ต้องการข้อมูล เพื่อเป็นประโยชน์ในการส่งสินค้า เมื่อทำเสร็จจะแสดงผลออกทางหน้าจอ ถ้ากรอกข้อมูลครบถ้วนจะแสดงผลออกทางหน้าจอ” ท่านกรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ” แต่ถ้าหากกรอกข้อมูลไม่ถูกต้องและไม่ครบถ้วน “ ท่านกรอกข้อมูลไม่สมบูรณ์ ” ให้ลูกค้าไปแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน
Communication Diagram : Login
Communication Diagram : เลือกรายการสินค้า
ลูกค้าทำการเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ เข้าหน้าเว็บการขายสินค้า เพื่อดูรายการสมุนไพรที่ร้านค้ามีในระบบ
Communication Diagram : สั่งซื้อสินค้า
ลูกค้าทำการเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ เข้าหน้าเว็บการขายสินค้า เพื่อดูรายการสมุนไพรที่ร้านค้ามีในระบบ จากนั้นทำการสั่งซื้อสิน จะแสดงรายการสินค้าออกทางหน้าจอ และบันทึกข้อมูล
Communication Diagram : ส่งสินค้า
พนักงานส่งสินค้าทำการตรวจสอบสินค้า ถูกต้องสมบูรณ์แล้วส่งให้ลูกค้า ถ้าไม่ถูกต้องทำการแก้ไขแล้วจึงส่งให้แก่ลูกค้า
Communication Diagram : ตรวจสอบสินค้า
พนักงานส่งสินค้าตรวจสอบสินค้าก่อนที่จะส่งให้ลูกค้าลูกค้าทำการตรวจสอบสินค้าเมื่อได้รับสินค้าจากพนักงานส่งสินค้า
Communication Diagram : เพิ่มเติมรายการสินค้า
ลูกค้าทำการเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ เข้าหน้าเว็บการขายสินค้า เพื่อดูรายการสมุนไพรที่ลูกค้าได้สั่งซื้อไว้ ว่าลูกค้าต้องแก้ไขรายการสินค้าหรือ หรือต้องการเพิ่มรายการเข้าไป สามารถทำได้ก่อนวันเวลาที่ทางผู้ดูแลระบบได้กำหนดไว้
Communication Diagram : ชำระเงิน ATM
ลูกค้าทำการสอดบัตร จากนั้นกดรหัสผ่าน เมื่อถูกต้อง ดำเนินการต่อไป ถ้ากดไม่ถูกต้องทำการกดรหัสใหม่ จากนั้นเลือกการโอนเงิน แล้วกดเลขบัญชีทางร้าน และกดจำนวนเงิน แล้วตกลงเพื่อทำการชำระเงิน
Communication Diagram : ชำระเงินปลายทาง
เมื่อลูกค้าได้รับสินค้าแล้ว ทำการตรวจสอบสินค้า เมื่อสินค้าถูกต้องให้ทำการชำระเงินที่พนักงานส่งสินค้า
Communication Diagram : ออกโปรโมชั่น
ผู้จัดการทำการหาโปรโมชั่นที่เหมาะให้แก่ลูกค้า ให้นำเสนอโปรโมชั่นให้แก่ลูกค้า
อธิบาย Activity Diagram
Activity Diagram : การสมัครสมาชิก
ลูกค้าทำการกรอก ชื่อ รหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว เพื่อทำการสมัครสมาชิก เมื่อลูกค้าทำการกรอกข้อมูลไม่ถูกต้องให้ทำการแก้ไข และกรอกข้อมูลใหม่
Activity Diagram : Login
Activity Diagram : เลือกรายการสินค้า
ลูกค้าเข้าสู่ระบบ เพื่อดูรายการสินค้า และทำการเลือกรายการสินค้าที่ลูกค้าสนใจ
Activity Diagram : สั่งซื้อสินค้า
ลูกค้าเข้าสู่ระบบ เพื่อดูรายการสินค้า และทำการเลือกรายการสินค้าที่ลูกค้าสนใจ ตรวจสอบข้อมูลการสั่งซื้อสินค้าหากต้องการแก้ไขหรือทำการดูรายการสินค้าและต้องการเลือกซื้อสินค้าเพิ่มเติม บันทึก เพื่อทำการสั่งซื้อสินค้า
Activity Diagram : ส่งสินค้า
พนักงานส่งสินค้าตรวจสอบสินค้าตามรายการการสั่งซื้อสินค้า หากสินค้าไม่ถูกต้องตามรายการการสั่งสินค้า ให้แก้ไขสินค้าตามรายการสินค้า แล้วทำการส่งสินค้า
Activity Diagram : ตรวจสอบสินค้า
พนักงานส่งสินค้าตรวจสอบสินค้าตามรายการสินค้า หากสินค้าไม่ถูกต้องตามรายการสินค้า แก้ไขสินค้าตามรายการสินค้า
Activity Diagram : ชำระเงิน
ลูกค้าเลือกช่องทางการชำระเงิน คือ การชำระผ่านบัตรเครดิตโดยโอนเงินผ่านตู้ ATM และการชำระเงินที่ปลายทางเมื่อได้รับสินค้าแล้วโดยจ่ายเงินให้พนักงานขายสินค้า รับใบเสร็จการชำระเงินค้าสินค้า
Activity Diagram : โปรโมชั่น
ผู้ดูแลระบบสรุปรายการการสั่งซื้อสินค้าตามรายการสินค้า เพื่อเลือกนำสินค้ามาออกโปรโมชั่น
อธิบาย State Diagram
State Diagram การสมัครสมาชิก
เข้าหน้าเว็บเพื่อทำการสมัครสมาชิก โดยการการกรอกข้อมูลให้ถูกต้อง ถ้าไม้ถูกให้ทำการกรอกข้อมูลใหม่
State Diagram รายการสินค้า
ลูกค้าทำการเข้าสู่หน้าเว็บเพื่อทำการดูรายการสินค้าที่มีในระบบ และเลือกรายการสินค้าที่สนใจของลูกค้า
State Diagram เพิ่มเติมรายการสินค้า
ทำการเข้าหน้าเว็บเพื่อดูรายการสินค้าที่ลูกค้าได้เลือกไว้ข้างต้น ลูกค้าสามารถเข้ามาแก้ไขหรือเพิ่มเติมรายการสินค้าได้ภายในวันเวลาที่ทางร้านได้แจ้งกำหนด
State Diagram การสั่งซื้อสินค้า
ลูกค้าทำการเข้าสู่หน้าเว็บ เพิ่มเลือกรายการสินค้า จากนั้นทำการสั่งซื้อสินค้าที่ลูกค้าเลือกไว้
State Diagram การส่งสินค้า
พนักงานส่งสินค้าทำการส่งสินค้าไปยังลูกแต่ต้องตรวจสินค้าทุกครั้งถูกต้องจึงทำการส่งให้ลูกค้า ไม้ถูกต้องทำการแก้ไขก่อนส่งให้แก่ลูกค้า
State Diagram การชำระเงินปลายทาง
เมื่อทำการส่งสินค้าแล้วลูกค้าได้รับสินค้า และลูกค้าทำการตรวจสอบสินค้าถูกต้องตามการสั่งซื้อ ลูกค้าต้องชำระเงินตามรายการสินค้าที่ได้สั่งซื้อ
State Diagram การชำระเงินผ่านตู้ ATM
ลูกค้าทำการเข้าสู่ระบบ เข้าระบบให้ถูกต้องจึงดำเนินการต่อได้ ถ้าไม่ถูกต้องกดใหม่ให้ถูกต้อง จากนั้นกดจำนวนเงินตามราคาสินค้าทั้งหมดที่สั่งซื้อ
State Diagram ตรวจสอบสินค้า
ลูกค้าและพนักงานส่งสินค้าทำการตรวจสอบสินค้าก่อนรับและส่งสินค้า
State Diagram โปรโมชั่น
ผู้จัดการทำการออกโปรโมชั่น จากข้อมูลที่อยู่
Deployment diagram
Deployment Diagram ของระบบการส่งออกสมุนไพรจังหวัดอุตรดิตถ์
แผนผังเว็บไซต์
หน้าเว็บที่ให้บริการสำหรับลูกค้าและผู้ที่สนใจทั่วไป
สิ่งที่สามารถเข้าชมได้มีดังนี้
⦁ ส่วนเมนูแนะนำสินค้า
⦁ ส่วนเมนูร้าน
⦁ ส่วนเมนูสินค้าบ้านสวนม่อนดินแดง
⦁ ส่วนเมนูแผนที่
⦁ แผนที่นำทาง
⦁ แผนที่บอกระยะทาง
⦁ แผนที่บอกตำแหน่ง
หน้าเว็บสำหรับ สั่งสินค้า
1.เลือกสินค้า
2.ระบุจำนวนสินค้าที่ต้องการสั่งซื้อ
3.แก้ไขตรวจสอบ
1.แผนที่นำทาง
2.จักการผู้ใช้
3.จัดการหมวดหมู่สินค้า
4.จัดการสินค้า
5.จัดการการสั่งซื้อ
6.จัดการการยืนยันการจ่าย
7.จัดการวิธีการสั่งซื้อ
อ้างอิง
⦁ เอกาสารประกอบคำบรรยาย วิชาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
⦁ http://www.gisthai.org/about-gis/gis.html
⦁ http://www.tci-thaijo.org/index.php/sduhs/article/view/5047
⦁ http://civil.eng.cmu.ac.th/research/in/2553/372
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น